กรกฎาคม 31, 2024
หมายเหตุ : บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้
WEEKLY TONE : BUY WEEK
ในสัปดาห์นี้มีตัวชี้วัดที่ค่อนข้างหน้าสนใจอยู่หลายตัว เริ่มต้นกันที่ JOLTs Job Opening มีแนวโน้มที่จะลดตัวลง แสดงให้เห็นถึงการแข่งขันหางานก็ลดตัวลง ความต้องการในการจ้างงานนั้นลดลง แต่ Unemployment Rate หรือ อัตราการว่างงานนั้นมีแนวโน้มที่จะคงที่เท่าเดิม แสดงถึงความไม่ปกติในตลาดแรงงานและอาจมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจได้ Non Farm Payroll ที่มีแนวโน้มที่จะลดตัวลงนั้นหมายถึงการลดการจ้างงานในภาคเศรษฐกิจอื่นนอกเหนือจากภาคเกษตร โดยรวมแล้วยังสามารถบ่งบอกได้ว่า การลดตัวลงของ Non Farm Payroll นั้นเป็นสิ่งที่สามารถช่วยให้การติดสินใจของ FED ในการลดดอกเบี้ยในเดือน กันยายน นั้นง่ายขึ้นไปอีก และด้วยตัวเลขฝั่งแรงงานที่ออกไม่ค่อยดีแล้วยังเป็นอีกหนึ่งแรงผลักดันให้ FED นั้นลดดอกเบี้ยอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในตลาดคริปโทฯ แม้ว่าจะมีการปรับตัวขึ้นของภาพรวมตลาด แต่การที่ตัวเลขทางฝั่งเศรษฐกิจออกมาก็อาจทำให้ตลาดผันผวนขึ้นมาอีกได้ครั้ง โดยการซื้อเหรียญ Altcoin หรือ เหรียญแบบ Smallcap สามารถทำได้เนื่องจากการที่ Altcoin มีการปรับตัวของราคาลงมาค่อนข้างเยอะ ทำให้ตอนนี้มี Upside หรือการเติบโตที่มีโอกาสที่จะสูงกว่าเหรียญแบบ Largecap หรือพวกเหรียญ Marketcap ใหญ่ๆอย่าง Bitcoin แต่อย่างไรก็ตามการซื้อในช่วงนี้ไม่ได้หมายความว่า Altcoin ลงมาถึงจุด Low แล้ว แต่การซื้อ Altcoin จะทำให้นักลงทุนมีกำไรที่มากกว่าเหรียญแบบ Largecap อย่างมีนัยสำคัญในตลาดกระทิง
OLTS ย่อมาจาก "Job Openings and Labor Turnover Survey" คือการสำรวจเศรษฐกิจที่ดำเนินการโดยกรมแรงงานของสหรัฐอเมริกา การสำรวจนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งงานที่ว่างในตลาดแรงงาน รวมถึงตำแหน่งงานที่ว่าง การหมุนเวียนแรงงาน และอื่น ๆ อีกมาก การวัดตำแหน่งงานที่ว่างใน JOLTS นับจำนวนตำแหน่งงานที่มีพร้อมใช้แต่ยังไม่ได้รับการจ้างคนเข้าไปดำเนินงาน มันให้ข้อมูลสำคัญต่อเศรษฐกิจ นายจ้าง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่าง ๆ เพื่อเข้าใจเงื่อนไขของตลาดแรงงาน อัตราการหมุนเวียนแรงงาน และความต้องการในการจ้างงานในสหรัฐอเมริกา ความสำคัญของตำแหน่งงานที่ว่างใน JOLTS คือการให้ภาพรวมที่ครอบคลุมของตลาดแรงงานเกินข้อมูลอัตราการว่างงานทั่วไป มันช่วยในการเข้าใจว่าตลาดงานเปิดให้โอกาสใหม่เพียงใดซึ่งสามารถมีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมและการตัดสินใจทางธุรกิจ
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: JOLTs Job Opening มีแนวโน้มที่จะลดลงจาก 8.14M เป็น 8.05M
การคาดการณ์
การปรับตัวลดลงของ JOLTs Job Opening นั้นสามารถตีความได้หลายแบบ โดยที่หลักๆ แล้วจะแสดงให้เห็นถึงตลาดแรงงานที่เย็นตัวลง การแข่งขันในการหางานก็ลดตัวลงเช่นเดียวกัน แต่อย่างไรก็ตาม การปรับตัวลงของความต้องการแรงงาน สามารถบ่งชี้ถึงอัตราตอบแทนหรือค่าจ้างที่ชะลอตัวเช่นเดียวกัน
FED Interest Rate Decision คือการตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ยของ FED หรือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งนั้นๆ หรือไม่ โดยคณะกรรมการนโยบายการเงินแห่งสหรัฐฯ จะลงคะแนนเพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ย
คาดการณ์จาก Tradingeconomic: อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มจะคงที่เท่าเดิม หรือ 5.25% - 5.50%
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การที่ FED มีแนวโน้มที่สูงในการจะคงดอกเบี้ยเท่าเดิมนั้นมาจากการที่อัตราเงินเฟ้อนั้นยังไม่ลดลงถึงจุดที่ FED มองว่าเป็นตำแหน่งที่ดีในการลดดอกเบี้ย การลดดอกเบี้ยนั้นมีแนวโน้มว่าจะเริ่มลดครั้งแรกในเดือน กันยายน 2024 FED อาจจะยังไม่มีความแน่ใจในตัวเลขหลายๆ ด้านในทางเศรษฐกิจของหสรัฐฯ จึงรอดูก่อนที่จะตัดสินใจลดดอกเบี้ยเพราะด้วยตอนนี้ที่มีการคงดอกเบี้ยที่สูงเป็นเวลานาน ทำให้การลดดอกเบี้ยนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญและละเอียดอ่อนอย่างมาก ส่งผลให้ช่วงนี้ในตลาดการลงทุนการมีความผันผวนของราคาที่เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม
Nonfarm Payrolls คือ ดัชนีชี้นำทางเศรษฐกิจตัวหนึ่งที่สำคัญของสหรัฐ ที่ประกาศทุกๆ วันศุกร์แรกของแต่ละเดือน ผ่านทางการรวบรวมตัวเลขทางสถิติการจ้างงานในภาคการบริการ, ก่อสร้าง, อุตสาหกรรม โดยไม่นับรวมไปถึงการจ้างงานในภาคการเกษตร, ในครัวเรือน และในองค์กรไม่แสวงหากำไรโดยกรมสถิติแรงงานของสหรัฐ
คาดการณ์จาก Tradingeconomic : Non Farm Payroll มีแนวโน้มที่จะลดตัวลงจาก 206K เป็น 190K
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การลดตัวลงของ Non Farm Payroll หมายถึงการลดตัวลงของผู้ที่ถูกจ้างงานในภาคเศรษฐกิจอื่นๆ นอกจากภาคเกษตร ซึ่งโดยส่วนมากแล้วจะบ่งบอกถึงเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ตัวเลขนี้ยังเป็นอีกหนึ่งตัวชี้วัดในการใช้ลดดอกเบี้ยของ FED อีกด้วย และการลดลงในตัวชี้วัด Non Farm Payroll สามารถทำให้เงินดอลล่าร์อ่อนตัวลงเช่นเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาคการส่งออกของสหรัฐฯ ตลาดการลงทุนอาจมีการปรับตัวลงจากความอ่อนแอของเศรษฐกิจ
Key Event ที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์และอาจจะทำให้เกิดความผันผวนกับสินทรัพย์ดิจิทัล
30 กรกฎาคม
31 กรกฎาคม
1 สิงหาคม
ในส่วนของ Funding rate สำหรับอาทิตย์นี้มีการปรับตัวขึ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งแสดงถึงมุมมองของตลาดในเชิงบวกขึ้น แต่ภาพรวมยังคงถือว่าต่ำกว่าปกติ และตีความได้ว่า มีการเปิดสถานะลองมากกว่าสถานะชอร์ตเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ในฝั่งของ Bitcoin Open Interest ปริมาณเงินเพิ่มขึ้นมากจนเทียบเท่ากับระดับ All Time High ช่วงเดือนมีนาคม แสดงถึง Sentiment ของตลาดในเชิงบวก การเก็งกำไรและความมั่นใจของนักลงทุนที่จะเปิดสถานะมากขึ้น อาจทำให้เกิดความผันผวนที่มากขึ้นตามมา
ในส่วนของ Bitcoin ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสเงินไหลเข้าจาก Spot Bitcoin ETFs รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 535.3 ล้านเหรียญ ซึ่งแรงซื้อส่วนใหญ่มาจาก IBIT ในขณะที่ GBTC มีแรงเทขายอย่างต่อเนื่อง ทำให้แรงซื้อสุทธิอยู่ในระดับปานกลาง เมื่อเปรียบเทียบกับ 2 สัปดาห์ก่อนที่มีแรงซื้อในปริมาณมากจนทำให้ Bitcoin กลับตัวจาก Local bottom ได้
หลังจากเปิดการซื้อขายอย่างเป็นทางการของ Spot Ethereum ETF ในวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 ปัจจุบันมียอดเงินไหลออกสุทธิ 498.3 ล้านเหรียญ ซึ่งแรงขายทั้งหมดมาจาก ETHE ของ Grayscale กว่า 1,723.5 ล้านเหรียญ ทั้งนี้อาจจะเป็นแรงเทขายจากนักลงทุนที่ต้องการเปลี่ยนเจ้า เนื่องจากค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า 10 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับเจ้าอื่น และยังมีแรงเทขายจากนักลงทุนที่ทำกำไรจาก discount ของ ETHE ก่อนที่จะมีการเปิดตัว Ethereum ETF อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณา Inflow จากเจ้าอื่นๆ อย่าง Blackrock, Fidelity, และ Bitwise รวมกันกว่า 962.5 ล้านเหรียญ นับว่าเป็นแรงซื้อในปริมาณที่สูง และเมื่อดูจากปริมาณการซื้อขายในวันแรกของการเปิดตัวที่ทะลุ 1 พันล้านเหรียญ ทำให้การเปิดตัวของ Ethereum ETF เป็นหนึ่งในการเปิดตัวที่ประสบความสำเร็จที่สุด และยังแสดงถึงความต้องการของนักลงทุนสถาบันในการลงทุนในตลาดนี้อีกด้วย
เมื่อสังเกต Outflow ของ Grayscale จะพบว่า ETHE มีการไหลออกของเม็ดเงินที่เร็วกว่า GBTC เปรียบเทียบกับอัตราส่วนของ AUM ทำให้แรงขาย Ethereum อาจจะหมดแรงเร็วกว่า ซึ่งโดยรวมแล้ว การเปิดตัวของ Spot Ethereum ETF น่าจะเป็นภาพเดียวกับ Bitcoin ที่ร่วงลงในระยะสั้น แต่กลับมาได้อย่างแข็งแกร่งในระยะยาว จากการเข้ามาของนักลงทุนสถาบันอย่างแท้จริง
ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม Mt.Gox ได้มีการโอน Bitcoin ไปยัง Trustee หรือผู้ดูแลผลประโยชน์อย่าง Kraken และ Bitstamp เป็นจำนวนกว่า 59,000 BTC ทำให้มี Bitcoin คงเหลืออยู่ 79,000 BTC ที่รอการแจกจ่าย ซึ่งตลาดกังวลว่าอาจจะมีแรงเทขายจากเจ้าหนี้ และนับว่าเป็นปริมาณที่สูงกว่าแรงเทขายจากรัฐบาลเยอรมัน นักขุด หรือนักลงทุน ETF
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากการที่เจ้าหนี้เรียกร้องการคืนเงินในรูปแบบของ Bitcoin ไม่ใช่เงินดอลลาร์ แสดงให้เห็นถึงความต้องการที่แท้จริงของเจ้าหนี้ และเนื่องจากเหตุการณ์แฮ็กของ Mt.Gox เป็นคดีที่เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2013 ทำให้ระหว่างทาง มีการซื้อขายสิทธิ์ในการเคลมสินทรัพย์อย่างแพร่หลาย สามารถตีความได้ว่า ผู้ที่ยังไม่ได้ขายสิทธิ์ไปนั้น ต้องการสินทรัพย์คืนในรูปแบบของ Bitcoin และอาจทำให้แรงเทขายไม่มากเท่าที่ตลาดกังวล
จากข้อมูล Spot Cumulative Volume Delta บน Kraken และ Bitstamp จะสังเกตได้ว่า หลังจากได้มีการคืนสินทรัพย์ให้เจ้าหนี้แล้ว แรงเทขายบนกระดานเทรดยังอยู่ในช่วงปกติ ไม่ได้มีความผิดปกติอย่างที่ตลาดกังวล
เมื่อแรงเทขายจาก Mt.Gox อาจจะไม่ได้กระทบกับตลาดมากนัก และหากพิจารณา Sentiment ตลาดครึ่งปีหลัง ยังคงมีปัจจัยบวกมากมายที่รออยู่ ทั้งการเลือกตั้งของสหรัฐฯ และการลดอัตราดอกเบี้ย ที่จะทำให้เงินใน Money Market Fund ที่เพิ่งทำจุดสูงสุดไป กลับมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น ปัจจุบันจึงเป็นจุดเข้าสะสมที่ดี ก่อนที่เม็ดเงินใหม่จะไหลเข้ามาในตลาด
ข้อมูลจาก Pantera Capital แสดงให้เห็นว่า ตลาดกระทิงของคริปโตเคอร์เรนซีแบ่งออกเป็น 2 พาร์ท โดยพาร์ทแรก Bitcoin จะให้ผลตอบแทนชนะตลาด และในพาร์ทที่สอง Altcoins จะพลิกกลับมา Outperform ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มที่ตลาดใกล้จะเข้าสู่ Phase 2 ของตลาดกระทิงแล้ว
เมื่อพิจารณา Bitcoin Dominance จะสังเกตได้ว่า ก่อนที่จะมีการเข้าสู่ Phase 2 ที่ทำให้ Altcoins ในตลาดพุ่งอย่างรวดเร็วนั้น Bitcoin Dominance จะขึ้นประมาณ 15-20% ซึ่งปัจจุบันตัวชี้วัดนี้ได้พุ่งขึ้นมาราวๆ 17% แล้ว ดังนั้น นักลงทุนควรพิจารณาปรับสัดส่วนพอร์ตโฟลิโอให้เหมาะสมกับ Sentiment ดังกล่าวและความเสี่ยงที่รับได้ เพื่อเตรียมตัวรับมือกับ Phase 2 ของตลาดกระทิงที่กำลังจะมาถึง
$BTC นั้นขึ้นมาจนถึงบริเวณกรอบแนวต้านบริเวณ $69,000 ได้อีกครั้งหนึ่งโดยในช่วงข้างหน้าต้องดูว่าราคาจะสามารถ Breakout ขึ้นไปได้หรือไม่ ถ้าหากราคาสามารถปิดเหนือกรอบได้ จะสร้าง Momentum ที่ Bullish ของ $BTC อย่างมากซึ่งอาจส่งให้ไปทำ All-Time High ได้เลย อย่างไรก็ตามหากราคาติดอยู่ในกรอบแนวต้านก็จะทำให้ช่วงเวลาข้างหน้าราคาอาจจะมีการย่อตัวแบบ Sideway Down ออกไปก่อนโดยมีแนวรับสำคัญอยู่บริเวณ $66,000 และ $61,000 ตามลำดับ
แนวต้าน: $69,000 | $73,500 | $76,500
แนวรับ: $66,000 | $61,500 | $56,500
$ETH นั้นยังคงมีการ Sideway อยู่ในช่วงที่ผ่านมาในกรอบบริเวณ $2,870 - $3,700 ในระยะสั้นช่วงข้างหน้า หากราคาสามารถยืนอยู่เหนือแนวต้าน $3,350 ได้ก็มีโอกาสที่ราคาจะขึ้นไปถึงแนวกรอบด้านบนบริเวณ $3,700 ได้หรือหากราคาไม่สามารถ Breakout ได้อาจจะย่อลงที่บริเวณ $2,900 ได้อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามจุดที่น่าจับตามองของ $ETH ตอนนี้นั้นคือการ Breakout ออกจากกรอบขนาดใหญ่ที่ได้พูดถึงข้างต้น จากการที่สร้างชุดสะสมที่ยาวนานทำให้ราคาที่ออกจากกรอบอาจมีการเคลื่อนที่รุนแรงมากได้
แนวต้าน: $3,350 | $3,700 | $4,020
แนวรับ: $2,870 | $2,400 | $2,125
"มีความเป็นไปได้สูง" ของการลดดอกเบี้ยของ FED จะมาถึงในเดือนกันยายน และ Bitcoin Dominance ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงมากกว่า 50% และการมาของ Ethereum spot ETF และมุมมองเชิงบวกมาก ๆ ต่อตลาดคริปโตฯ ในสหรัฐในเชิงการเมืองที่อาจจะเห็นภาพชัดเจนในไตรมาสที่ 4 และเมื่อพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจที่ผันผวนในสัปดาห์นี้ จึงแนะนำให้นักลงทุนถือสัดส่วนของ Bitcoin เอาไว้เพื่อลด Drawdown โดยรวมของพอร์ต และเพิ่มสัดส่วนของ Ethereum ในพอร์ตเพิ่มขึ้น บวกกับถือสัดส่วนของ Altcoins ที่มีพื้นฐานที่ดีรับสัญญาณของ Altcoins season และเก็บ Stablecoin ที่เป็น USD เพื่อใช้เป็นไม้สำรอง
BITCOIN 40%
SELECTIVE ALTCOINS (ETH, LAYER 2 ,LSD) 40%
STABLECOIN 20%
Disclaimer