July 10, 2024
หมายเหตุ : บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นในทุกวันจันทร์ ดังนั้นบทความบางส่วนอาจจะมีความคลาดเคลื่อนของข้อมูลได้
WEEKLY TONE : MONITOR WEEK
ในสัปดาห์ที่สองของไตรมาสที่ 3 ตัวเลขเศรษฐกิจของฝั่งสหรัฐที่ประกาศในสัปดาห์นี้ได้แก่ Unemployment Claims ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และ Core CPI ทรงตัวอยู่ในระดับเดิม และ PPI นั้นได้มีการเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่น้อย ถือเป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่สภาพเศรษฐกิจของสหรัฐได้มีการตอบสนองต่อการที่ FED ที่มีการคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับที่สูงหรือในระดับ 5.25%-5.50% ซึ่งอาจจะทำให้ตลาดเริ่มเห็นถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ภาพของการลดดอกเบี้ยในเดือนกันยายนเริ่มชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
Core PPI หรือ Core Producer Price Index คือ จะวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในราคาขายสำหรับสินค้าและบริการต่างๆ ที่ผู้ผลิตได้ขายโดยที่ไม่รวมถึงสินค้าประเภทอาหารและพลังงาน ดัชนีราคาผู้ผลิตจะวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในราคาจากมุมองของผู้ขาย เมื่อผู้ผลิตมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นสำหรับการผลิตสินค้าและบริการนั้นก็น่าจะเป็นไปได้มากว่าผู้ผลิตจะให้ผู้บริโภคแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นนั้นแทน ดังนั้นดัชนีราคาผู้ผลิตนี้จึงเชื่อว่าเป็นดัชนีสำคัญที่จะชี้วัดภาวะเงินเฟ้อของผู้บริโภค
คาดการณ์จาก Forexfactory : Core PPI m/m มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจาก 0.0% เป็น 0.1%
ส่งผลอย่างไรต่อตลาด
จากตัวเลขคาดการณ์ที่เพิ่มขึ้นแสดงถึงการที่ผู้ประกอบการนั้นได้มีผลตอบรอบจากการที่ FED จะคงดอกเบี้ยไว้ และคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน และลดเพียงครั้งเดียวในปี 2024 เพื่อที่จะช่วยให้อัตราเงินเฟ้อนั้นลดลง แต่กลับกันในด้านของ Core PPI ซึ่งเป็นหนึ่งตัวชี้วัดที่สามาถใช้ดูอัตราเงินเฟ้อได้ การที่ Core PPI เพิ่มขึ้นสามารถแปลความหมายได้ ผู้บริโภคมีความต้องการที่จะซื้อสินค้าสูงมาก จนทำให้ผู้ประกอบการต้องผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น หรือเพิ่มราคาของสินค้าเพื่อที่จะให้สอดคล้องกับความต้องการ แต่อย่างไรก็ตาม การที่ Core PPI เพิ่มขึ้น สามารถตีความได้หมายได้อีกอย่างหนึ่ง คือ ต้นทุนการผลิตและแรงงานของผู้ประกอบการนั้นเพิ่มขึ้น โดยที่ผู้ประกอบการอาจเพิ่มราคาของสินค้าทำให้ผู้บริโภคนั้นต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นนั้นเอง
ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน หรือ Core Consumer Price Index (CPI) จะวัดค่าการเปลี่ยนแปลงในราคาสินค้าและบริการต่างๆ โดยที่ไม่ได้รวมถึงสินค้าประเภทอาหารและพลังงาน ดัชนีราคาผู้บริโภคนี้จะวัดค่าการเปลี่ยนแปลงราคาจากมุมมองของผู้บริโภค ดัชนีนี้เป็นวิถีทางที่สำคัญที่จะวัดค่าการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มการจัดซื้อและภาวะเงินเฟ้อ
คาดการณ์จาก Forexfactory : Core CPI m/m มีแนวโน้มคงที่เท่าเดิมที่ 0.2%
ตีความอย่างไรต่อตลาด
การที่มีการคาดการณ์ว่า Core CPI นั้นจะคงที่ที่ 0.2% จะมีผลต่อตลาดในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ การคงที่ของ Core CPI สามารถแสดงให้เห็นที่การทรงตัวของเงินเฟ้อ และยังเป็นผลดีแก่ผู้บริโภคเนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคจะไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราเงินเฟ้อมากนัก และการที่ FED ขึ้นและคงอัตราดอกเบี้ยไว้ในระดับ 5.50%-5.25% เพื่อต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อ และการที่ Core CPI คงที่นั้นก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณที่บ่งชี้ถึงนโยบายของ FED ที่ต่อสู้กับอัตราเงินเฟ้อนั้นได้มีผลกระทบในเชิงบวกให้เห็นแล้ว อย่้างไรก็ตาม การที่มีการคาดการณ์ว่า Core CPI คงที่เพียงแค่ 1 เดือน นั้นไม่สามารถที่จะบอกข้อมูลในเชิงลึกได้
Initial Jobless Claims คือจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานรายสัปดาห์ ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนค่าใช้จ่ายของรัฐได้ชัดกว่าอัตราการว่างงาน เพราะยิ่งตัวเลขนี้สูงขึ้นนั่นหมายความว่าค่าใช้จ่ายของภาครัฐ (Government Expenditure) ถูกใช้ไปในการช่วยเหลือกลุ่มคนว่างงานมากขึ้น เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่จะหดตัว และยังแสดงให้เห็นถึงช่องว่างความเหลื่อมล้ำในประเทศอีกด้วย โดยตัวเลขนี้จะมีประกาศทุก ๆ วันพฤหัสบดี
คาดการณ์จาก Tradingeconomic : Initial Jobless Claims จะมีเพิ่มขึ้นจาก 238,000 เป็น 240,000
ตีความอย่างไรต่อตลาด
โดยหากอิงจากอัตราการว่างงานหรือ Unemployment Rate ที่เพิ่มสูงขึ้นพร้อมกับ Initial Jobless Claims นั้นมีโอกาสที่จะเพิ่มขึ้นไปพร้อมกัน หมายความว่าผู้บริโภคนั้นมีความต้องการในการใช้จ่ายลดลงหรือเท่าเดิมตามการคาดการณ์ของ Core CPI ทำให้ผู้ประกอบการนั้นไม่ได้มีกำไรเพิ่มขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องควบคุมจำนวนของพนักงานไม่ให้มีเยอะเกินไป เพราะมิฉะนั้นจะทำให้บริษัทนั้นแบกรับการขาดทุนที่มากมาย การเรียกร้องค่าสินไหมหรือสวัสดิการทดแทนการว่างงานที่เพิ่มขึ้นรวมกันและอัตราการว่างงานบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจอาจชะลอตัวลง สิ่งนี้น่าจะนำไปสู่อัตราเงินเฟ้อที่ลดลง
Key Event ที่น่าสนใจที่จะเกิดขึ้นในสัปดาห์และอาจจะทำให้เกิดความผันผวนกับสินทรัพย์ดิจิทัล
8 กรกฎาคม
9 กรกฎาคม
11 กรกฎาคม
12 กรกฎาคม
ในส่วนของ Funding rate สำหรับอาทิตย์นี้ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำ บางเหรียญถึงขั้นติดลบ แสดงถึงมุมมองต่อตลาดในเชิงลบ เนื่องจากมีการเปิดสถานะชอร์ตมากกว่าสถานะลอง หรือมีความคาดหวังที่ราคาจะตกลง ทั้งนี้ นักลงทุนควรจับตาดู Funding rate ที่หากติดลบมากจนเกินไป อาจทำให้เกิด Short squeeze ในระยะเวลาสั้นๆ และเป็น bottom ของตลาดได้
ในฝั่งของ Open Interest ปริมาณเงินมีแนวโน้มลดลงอย่างชัดเจน โดยเทียบเป็นจำนวนกว่า 50% ของสัปดาห์ที่ผ่านมา แสดงถึงความมั่นใจของนักลงทุนในตลาดคริปโตเคอร์เรนซีที่ลดลง ส่งผลถึงปริมาณการเปิดสถานะ Option ที่ลดลงอย่างมาก สามารถตีความได้ว่า โอกาสที่จะเกิดความผันผวนในระยะสั้นน้อยลง
ในส่วนของ Bitcoin ETF Flow ในสัปดาห์ที่ผ่านมามีกระแสเงินไหลเข้าจาก Spot Bitcoin ETFs รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 238.31 ล้านเหรียญ ซึ่งแรงซื้อส่วนใหญ่มาจาก FBTC ในขณะที่ GBTC ยังคงมีแรงเทขายอย่างต่อเนื่อง
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ราคา Bitcoin ตกลงมาอยู่ในระดับ $55,000 - $57,000 ซึ่งหากสังเกตจากค่า MVRV ของ Bitcoin จะพบได้ว่า นักลงทุนส่วนใหญ่มีกำไรเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2x หรือ 200% นั่นเอง แต่นักลงทุนระยะสั้นที่ถือเป็นระยะเวลาน้อยกว่า 3 เดือน กำลังขาดทุนอยู่ ซึ่งนักลงทุนกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่อาจทำการเคลื่อนไหวและส่งผลกระทบต่อตลาดได้ หากราคาลงไปถึงจุดนึง แล้วนักลงทุนกลุ่มนี้ทนถือสถานะที่ขาดทุนไม่ได้ อาจจะทำให้เกิดแรงขายขึ้น
เมื่อพิจารณาช่วงราคาต้นทุนของนักลงทุนกลุ่มนี้ที่ $64,000 จะพบว่า ปัจจุบันนักลงทุนกลุ่มนี้กำลังขาดทุนอยู่ แต่จากสถิติที่ผ่านมา โอกาสที่ราคาจะตกลงต่ำกว่า ต้นทุน - 1 SD นั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก มีเพียงแค่ 7% ของสถิติในอดีต ทำให้สามารถสังเกตเป็นแนวรับสำคัญได้ที่ประมาณ $50,000
เครื่องมือที่วัดความผันผวนของตลาดตอนนี้ อย่างความต่างของจุดต่ำสุดและสูงสุดในช่วง 60 วัน บ่งบอกว่าตลาดมีความผันผวนค่อนข้างต่ำ ซึ่งสามารถตีความได้ว่า ตลาดเจอจุดสมดุล(Equilibrium) ของราคาแล้ว โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นหลังจากตลาดที่มีการย่อตัว และรอที่จะเกิดความเคลื่อนไหวอย่างรุนแรงในอนาคต
$BTC ได้หลุดแนวรับบริเวณ $60,000 ลงมาเป็น Momentum ที่ไม่ดีอย่างมากของราคา โดยถึงแม้ว่าตอนนี้ราคาจะอยู่บริเวณแนวรับ $56,000 และ RSI ได้มี Strong Bullish Divergence ให้เห็นแล้ว ด้วยการทำราคาลงที่รุนแรงอาจทำให้สัปดาห์ข้างหน้ามีโอกาสการทิ้งตัวของราคาลงต่อได้ โดยอีกแนวรับที่สำคัญคือบริเวณ $52,000 อย่างไรก็ตามหาก $BTC มีการ Rebound กลับขึ้นไปยืนเหนือ $56,000 ได้ก็อาจเกิดการกลับตัวขึ้นต่อได้ในสัปดาห์ข้างหน้าเช่นกัน
แนวต้าน: $61,000 | $67,000 | $73,000
แนวรับ: $56,500 | $52,500 | $48,000
สำหรับ $ETH ได้มีการหลุดแนวรับสำคัญบริเวณ $3,350 ลงมาอยู่ที่แนวรับ $2,900 ซึ่งหากดูในส่วนของ RSI แล้วก็ได้มีการทำสัญญาณกลับตัว Strong Bullish Divergence แล้ว แต่จากราคาที่ลงรุนแรงก็มีโอกาสที่จะหลุดแนวรับดังกล่าวลงต่อได้ สำหรับในกรณีที่ราคาสามารถยืนอยู่บริเวณ $2,900 ต่อไปได้ในสัปดาห์ข้างหน้า ก็มีโอกาสที่ราคาจะกลับตัวเพื่อขึ้นได้ต่อไป
แนวต้าน: $3,350 | $3,700 | $4,020
แนวรับ: $2,870 | $2,400 | $2,125
"มีความเป็นไปได้" ของการลดดอกเบี้ยของ FED อาจจะเลื่อนออกไปถึงเดือนกันยายน และ Bitcoin Dominance ปรับตัวขึ้นสู่ระดับสูงมากกว่า 50% และการมาของ Ethereum spot ETF และมุมมองเชิงบวกมากๆต่อตลาดคริปโทในสหรัฐในเชิงการเมืองที่อาจจะเห็นภาพชัดเจนในไตรมาสที่ 4 และเมื่อพิจารณาตัวเลขเศรษฐกิจที่ผันผวนในสัปดาห์นี้ จึงแนะนำให้นักลงทุนถือสัดส่วนของ Bitcoin เอาไว้เพื่อลด Drawdown โดยรวมของพอร์ต และเพิ่มสัดส่วนของ Ethereum ในพอร์ตเพิ่มขึ้น บวกกับถือสัดส่วนของ Altcoins ที่มีพื้นฐานที่ดีรับสัญญาณของ Altcoins season และเก็บ Stablecoin ที่เป็น USD เพื่อใช้เป็นไม้สำรอง
Disclaimer