Indicator อาวุธสำคัญของนักลงทุน

มิถุนายน 27, 2024

thumbnail

Indicator คืออะไร


Indicator คืออะไร

Indicator หรือ "ตัวบ่งชี้" เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์และตีความข้อมูลราคา ปริมาณการซื้อขาย และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในตลาดการเงิน Indicator ช่วยให้นักลงทุนและนักเทรดสามารถระบุแนวโน้ม ทิศทางของราคา และจุดกลับตัวได้ โดยการให้ข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจในการซื้อขาย พัฒนาและสร้างขึ้นตามหลักการทางสถิติและคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน เพื่อตอบสนองต่อการเคลื่อนไหวของตลาดในลักษณะต่าง ๆ อย่างมีประสิทธิภาพ Indicator ไม่เพียงแต่ช่วยในการวิเคราะห์แนวโน้มราคา แต่ยังช่วยในการระบุสัญญาณซื้อขาย รวมถึงการวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม และการประเมินความผันผวนของตลาด ทำให้นักลงทุนสามารถวางแผนและตัดสินใจลงทุนได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้น


จากความหมายข้างบน Indicator ใช้ในการช่วยตัดสินใจการลงทุนของนักลงทุน ซึ่งนักลงทุนทั้งตลาดทุนแบบดั้งเดิมและตลาดคริปโตฯ เองก็ใช้ Indicator ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ในโลกคริปโตฯ มีชาวคริปโตฯ ก็ใช้ Indicator คริปโตฯ ในการใช้เป็น Indicator บอกจุดเข้าซื้อและเป็น Indicator บอกจุดซื้อขายคริปโตฯ ซึ่ง Indicator ที่นิยมใช้ในคริปโตฯ เช่น Moving Average 20 50 200 Days, Relative Strentgh Index, MACD หรือที่ชาวไทยนิยมใช้กันคือ CDC Action Zone


Indicator สำคัญกับนักลงทุนอย่างไร


Indicator สำคัญกับนักลงทุนอย่างไร

Indicator มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อนักลงทุนและนักเทรด เนื่องจากมันทำหน้าที่เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้การตัดสินใจทางการลงทุนให้มีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ดังนี้ 


1. การระบุแนวโน้ม (Trend Identification) : Indicator ช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุแนวโน้มของตลาด ไม่ว่าจะเป็นแนวโน้มขาขึ้น (Bullish), ขาลง (Bearish), หรือการเคลื่อนไหวออกข้างหรือราคาไม่ไปไหน (Sideways) ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการตัดสินใจซื้อขาย 


2. สัญญาณซื้อขาย (Trade Signals) : Indicator ช่วยในการหาจุดเข้าและออกจากตลาดอย่างมีระบบ Indicator อย่าง MACD หรือ RSI สามารถให้สัญญาณซื้อขายที่ชัดเจน ช่วยลดความเสี่ยงจากการตัดสินใจที่อาจมาจากความรู้สึกหรือความคาดเดา 


3. การวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม (Momentum) : Indicator ประเภท Momentum เช่น RSI หรือ Stochastic ช่วยให้นักลงทุนวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้มและคาดการณ์การเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต 


4. การประเมินความผันผวน (Volatility Assessment) : Indicator เช่น Bollinger Bands ช่วยให้นักลงทุนเข้าใจและวัดระดับความผันผวนของตลาด ซึ่งมีความสำคัญในการจัดการความเสี่ยงและกำหนดกลยุทธ์การลงทุน 


5. การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis) : Indicator เช่น Volume ช่วยให้นักลงทุนเห็นปริมาณการซื้อขายและสามารถระบุแรงซื้อหรือแรงขายในตลาด ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ความน่าเชื่อถือหรือเราจะเรียกว่าความแข็งแกร่งของของแนวโน้มราคา 


6. การยืนยันแนวโน้ม (Trend Confirmation) : การใช้ Indicator หลายตัวร่วมกันสามารถช่วยยืนยันแนวโน้มที่เกิดขึ้นและลดโอกาสในการเกิดสัญญาณลวง (False Break) ทำให้นักลงทุนมั่นใจในความถูกต้องของการวิเคราะห์ 


โดยสรุป Indicator เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนและนักเทรดสามารถระบุแนวโน้มของตลาด สร้างสัญญาณซื้อขาย วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ประเมินความผันผวน วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย และยืนยันแนวโน้ม การใช้ Indicator ช่วยในการตัดสินใจการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ นักลงทุนสามารถทำการตัดสินใจที่มีข้อมูลรองรับ เพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการลงทุนและลดความเสี่ยงจากการลงทุนที่ไม่มีข้อมูลสนับสนุน


Indicator พื้นฐานที่ต้องรู้และนักลงทุนนิยมใช้


Indicator พื้นฐาน

นักลงทุนและนักเทรดมักใช้ Indicator หลายตัวเพื่อช่วยในการวิเคราะห์และตัดสินใจในการซื้อขาย และนี่คือ Indicator ที่นิยมใช้และเป็นที่รู้จักกันดี ที่เรานำมาเสนอในวันนี้


1. Moving Average (MA) Moving Average (MA) คือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของราคาสินทรัพย์ในช่วงเวลาที่กำหนด ใช้เพื่อลดความผันผวนของราคาและระบุแนวโน้มในระยะสั้นหรือระยะยาว ใช้ระบุแนวโน้มของตลาด เช่น Golden Cross ที่ค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดขึ้นผ่านค่าเฉลี่ยระยะยาวบ่งชี้โอกาสซื้อ และ Death Cross ที่ค่าเฉลี่ยระยะสั้นตัดลงบ่งชี้โอกาสขาย นอกจากนี้ MA ยังทำหน้าที่เป็นแนวรับและแนวต้าน และใช้ร่วมกับ Indicator อื่น ๆ เพื่อยืนยันสัญญาณการซื้อขาย ช่วยให้นักลงทุนตัดสินใจได้แม่นยำยิ่งขึ้น


  • Simple Moving Average (SMA) : ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ธรรมดาที่คำนวณโดยการหารผลรวมของราคาปิดในช่วงเวลาที่กำหนด ให้ความสำคัญกับทุกช่วงเวลาของราคา
  • Exponential Moving Average (EMA) : ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบที่ให้ความสำคัญกับราคาล่าสุดมากกว่าราคาในอดีต 


ซึ่งนักลงทุนจะปรับจำนวนวันของ Moving Average กันเองตาม Time Frame ที่ดู และจำนวนวันการคำนวณที่นิยมกันคือ 20, 50 และ 200


2. Moving Average Convergence Divergence (MACD) : MACD คือ Indicator ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองเส้น โดยปกติใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 12 วัน และ 26 วัน เมื่อเส้น MACD ตัดกับเส้นสัญญาณ (Signal Line) จะเกิดสัญญาณซื้อหรือขาย 

  • MACD Line : คือค่าของผลต่างระหว่าง Exponential Moving Average (EMA) ของราคาสำหรับระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งระยะเวลาที่นิยมใช้สำหรับ MACD Line คือ 12 วันและ 26 วัน โดยการลบ EMA ของระยะเวลา 26 วัน จาก EMA ของระยะเวลา 12 วัน จะได้ MACD Line 
  • Signal Line : คือ Exponential Moving Average (EMA) ของ MACD Line สำหรับระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งระยะเวลาที่นิยมใช้สำหรับ Signal Line คือ 9 วัน


การวิเคราะห์ MACD มักจะใช้สำหรับการตรวจสอบสัญญาณการซื้อขายเมื่อสาย MACD Line ตัดลง (MACD Cross) ผ่านสาย Signal Line ซึ่งเรียกว่า Signal บ่งชี้ถึงโอกาสการซื้อขาย ถ้า MACD Line ตัดขึ้นผ่าน Signal Line จะเป็นสัญญาณซื้อ (Buy Signal) และถ้า MACD Line ตัดลงผ่าน Signal Line จะเป็นสัญญาณขาย (Sell Signal) นอกจากนี้ การวิเคราะห์การเปรียบเทียบระหว่างค่า MACD Line และ Signal Line ยังสามารถใช้ในการหา Divergence หรือ Convergence ซึ่งเป็นสัญญาณสำคัญในการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดและการเปลี่ยนแปลงในแนวโน้มของราคา


3. Relative Strength Index (RSI) : RSI คือ Indicator ที่วัดระดับความแข็งแกร่งของราคาในช่วงเวลาที่กำหนด (ปกติใช้ 14 วัน) เป็น Indicator ทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์การซื้อขายในตลาดการลงทุน โดยวัดความสัมพันธ์ของกำไรและขาดทุนในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุเวลาที่ตลาดมีการซื้อขายมากเกินไปหรือขาดและมีโอกาสเกิดการเปลี่ยนแปลงราคา ซึ่ง RSI มีช่วงค่าระหว่าง 0 ถึง 100 โดยมักแบ่งเป็นสองโซนหลัก คือ

  • Overbought Zone (มักกล่าวถึงเมื่อ RSI มากกว่า 70) : หมายถึงตลาดมีการซื้อมากเกินไปและอาจจะเกิดการปรับตัวของราคาลงในอนาคต 

  • Oversold Zone (มักกล่าวถึงเมื่อ RSI น้อยกว่า 30) : หมายถึงตลาดมีการขาดขายมากเกินไปและอาจจะเกิดการปรับตัวราคาขึ้นในอนาคต 


การใช้ RSI แบ่งเป็นหลายวิธี 


โดยทั่วไปแล้ว เมื่อ RSI เข้าสู่ Overbought Zone มักจะมีโอกาสที่ราคาจะเริ่มต้นเปลี่ยนเป็นขาลง เป็นสัญญาณการขาย เมื่อ RSI เข้าสู่ Oversold Zone มักจะมีโอกาสที่จะเริ่มต้นเปลี่ยนเป็นขาขึ้น เป็นสัญญาณการซื้อ อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์ด้วย RSI ควรพิจารณาร่วมกับสัญญาณจาก Indicator อื่น ๆ และเรียนรู้จากสถานการณ์ทั้งหมดในตลาดที่มีผลต่อราคาและการเคลื่อนไหวของตลาดทั้งหมด 


RSI มักนำมาดูสัญญาณ Divergence หรือ Convergence ได้เช่นเดียวกันกับ MACD หากเกิดความแตกต่างระหว่างราคาและ RSI มักจะเกิดการเคลื่อนไหวบางอย่างของระดับราคา เช่น Bullish Divergence หรือ Bearish Divergence หรือไว้ยืนยันเทรน เช่น Hidden Bullish Divergence และ Hidden Bearish Divergence


4. Fibonacci Retracement คือเป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์และการทำนายการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดทุน โดยใช้ระดับเส้น Fibonacci เพื่อระบุระดับราคาที่เป็นไปได้ที่ราคาเปลี่ยนแนวโน้ม โดยพื้นฐานแล้ว Fibonacci Retracement ใช้ตัวเลข Fibonacci เพื่อกำหนดระดับสำคัญที่ราคาอาจเดินตามหรือถอยกลับมาที่นั้น (เช่น 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, และ 100%) ระบุจุดที่ราคาอาจกลับตัวจากแนวโน้มเดิม 


เราสามารถระบุระดับราคาที่เป็นไปได้ที่ราคาอาจจะเปลี่ยนแนวโน้มได้ ซึ่งในบางครั้งระดับ Fibonacci สามารถเป็นแนวสนับสนุนมุมมองที่นักลงทุนมองเห็นในการเข้าซื้อหรือขาย เนื่องจากมีความน่าเชื่อถือที่สูงในการวิเคราะห์เทคนิคของตลาดทุน


อย่างไรก็ตาม ความสำคัญของระดับ Fibonacci ไม่ใช่เป็นเรื่องแน่นอน และตลาดอาจไม่สามารถทำนายได้เสมอไปเสมอ การใช้ Fibonacci Retracement ควรร่วมกับการวิเคราะห์อื่น ๆ และความเข้าใจในสภาวะทั้งหมดของตลาดทุน


นักลงทุนและนักเทรดมักใช้ Indicator เหล่านี้เพื่อวิเคราะห์และตัดสินใจในการซื้อขาย โดยการใช้หลาย ๆ Indicator ร่วมกันเพื่อยืนยันสัญญาณและลดความเสี่ยงในการลงทุน RSI, MACD, Moving Average, Fibonacci Retracement เป็น Indicator พื้นฐาน ช่วยในการระบุแนวโน้ม สัญญาณซื้อขาย การวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม การประเมินความผันผวนของตลาด การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย และการยืนยันแนวโน้ม แต่จริงๆ แล้วมี Indicator อื่นๆ อีกมากมายให้ค้นหาและทำความเข้าใจ พร้อมทั้งความรู้ในการวิเคราะห์ภาพรวมตลาด เช่น การวิเคราะภาพรวมตลาด (Macro Analysis) การวิเคราะห์ทางพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และถ้าเป็นโลกคริปโตฯ จะมีการวิเคราะห์เรื่องราว (Narrative Analysis)


สรุป

Indicator เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์และตีความข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายในตลาดการเงิน มันช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุแนวโน้มของตลาด ตัดสินใจเข้าและออกจากตลาด และวิเคราะห์ความผันผวนของตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นักลงทุนทั้งในตลาดทุนและตลาดคริปโตใช้ Indicator เพื่อช่วยในการตัดสินใจการลงทุน โดย Indicator อย่าง RSI, MACD, Moving Average, Fibonacci Retracement เป็น Indicator พื้นฐาน ช่วยในการระบุแนวโน้ม สัญญาณซื้อขาย การวัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม การประเมินความผันผวนของตลาด การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย และการยืนยันแนวโน้ม การใช้ Indicator ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์อื่น ๆ อย่างการวิเคราะภาพรวมตลาด (Macro Analysis) การวิเคราะห์ทางพื้นฐาน (Fundamental Analysis) และถ้าเป็นโลกคริปโตจะมีการวิเคราะห์เรื่องราว (Narrative Analysis) เข้ามาด้วย เพื่อทำให้การตัดสินใจการลงทุนมีความแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น


หมายเหตุ

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Merkle Capital คือผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานก.ล.ต. บริษัทให้การดูแลและบริหารเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและการบริหารจัดการ