ทำความรู้จักเกี่ยวกับการเทรดสไตล์ Scalping ในเบื้องต้น
นักลงทุนมีหลายลักษณะนิสัย หากนับที่ยาวที่สุดคือนักลงทุนระยะยาว (Long-Term Invester) หรือเราเรียกว่า Value Invester (VI) จะลงทุนในระยะที่ยาวมาก นับเป็น 5 ถึง 10 ปี หรือตลอดไป ในระยะรองลงมาเป็นคนที่ลงทุนเป็นรอบ (Cycle Invest) ที่ลงทุนตามรอบของเศรษฐกิจระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปี ถ้าสั้นลงมากว่านี้เป็น Day Trader ที่ลงทุนรายวัน อาจจะมีระยะเวลาที่ค่อนข้างสั้นอาจจะจบในเดือน อาทิตย์ หรือในวัน และที่สั้นที่สุดคือ Scalping Trader
การเทรดแบบ Scalping คืออะไร
การเทรดแบบ Scalping คือกลยุทธ์การซื้อขายที่นักเทรดทำการซื้อและขายสินทรัพย์ทางการเงินในช่วงเวลาสั้น ๆ โดยมุ่งหวังที่จะทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่มีขนาดเล็ก วิธีนี้เกี่ยวข้องกับการดำเนินการหลายๆ ครั้งภายในวันเดียว โดยอาจถือครองตำแหน่งเพียงไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที ลงทุนในระยะเวลาที่สั้นมากๆ ในระยะเวลา 15 นาที 30 นาที 1 ชั่วโมง หรือ 4 ชั่วโมง ต้องใช้ความชำนาญ เครื่องมือทางเทคนิก (Technical Analysis) พร้อมกับการคาดการณ์สภาพตลาดและการติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด (Macro Analysis) กลยุทธ์นี้มักใช้ในตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ตลาดฟอเร็กซ์, หุ้น หรือสกุลเงินดิจิทัล
เนื่องด้วย Scalping ใช้ในการลงทุนหรือการเก็งกำไรในระยะสั้นมาก ๆ จึงต้องการให้จบในวัน ทำให้ไม่นิยมในตลาดทุนแบบดั้งเดิมหรือตลาดหุ้นเพราะการขยับขึ้นลงของระดับราคาค่อนข้าน้อย แต่นิยมตลาด Forex ที่มีการใช้ Leverage และตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล (Cryptocurrency) ที่มีความผันผวนสูงพร้อมทั้งอนุญาตให้มีการใช้ Leverage การเทรดแบบ Scalping ที่มีทั้งการใช้ Leverage และมีการขยับของระดับราคาที่ค่อนข้างรุนแรง จึงอาจจะไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั่วไป
การเทรดแบบ Scalping เหมาะกับใคร
เนื่องจากด้วยความที่มีการขยับของระดับราคาที่รุนแรง พร้อมทั้งยังมีค่าธรรมเนียมสำหรับการ Leverage ที่คอยหักออกไปเรื่อย ๆ ทำให้มีต้นทุนมากกว่าการลงทุนทั่วไป ซึ่งการเหวี่ยงของระดับราคาหรือสินทรัพย์ทั้งหมดในบัญชี จะมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจค่อนข้างมากดังนั้นการเทรดแบบ Scalping ไม่ได้เหมาะสมกับนักลงทุนทั่วไป พร้อมกับมี Feedback จากนักลงทุนที่เทรดแบบ Scalping ว่า การเทรดแบบ Scalping นั้นเครียดและเหนื่อยมาก ๆ
แล้วนักลงทุนแบบไหนเหมาะสมกับการเทรดแบบ Scalping เหมาะกับใครบ้าง คำตอบที่ตรงที่สุดคือ “คนที่จัดการกับอารมณ์ตัวเองได้” จัดการกับอารมณ์ได้เป็นลักษณะที่สำคัญที่สุดแต่ยังต้องมีอย่างอื่นตามมาอย่าง
- ความสามารถในการตัดสินใจรวดเร็ว: การเทรดแบบ Scalping ต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็ว เนื่องจากต้องทำการซื้อและขายในช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อเก็บกำไรจากความผันผวนของราคาเล็กน้อย
- ทักษะในการวิเคราะห์เทคนิค: นักเทรด Scalping ต้องมีทักษะในการอ่านกราฟและใช้เครื่องมือทางเทคนิคอย่างเชี่ยวชาญ เช่น การใช้แท่งเทียน, เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ และดัชนีชี้วัดทางเทคนิคต่าง ๆ
- การมีสมาธิและการควบคุมอารมณ์: การเทรดในช่วงเวลาสั้นๆ ต้องการสมาธิและการควบคุมอารมณ์ที่ดี ไม่ควรให้ความโลภหรือความกลัวมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ
- ความพร้อมในการใช้เวลา: การเทรดแบบ Scalping ต้องการเวลามาก เนื่องจากต้องเฝ้าติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา
- ความรู้เกี่ยวกับตลาด: นักเทรดควรมีความรู้เกี่ยวกับตลาดและสินทรัพย์ที่เทรด เพื่อให้สามารถประเมินสถานการณ์และตัดสินใจได้อย่างมีเหตุผล
- ความสามารถในการจัดการความเสี่ยง: นักเทรด Scalping ต้องมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่ดี เพื่อป้องกันการสูญเสียที่เกินกว่าแผนการลงทุน รู้ว่าตอนไหนควรออก ตอนไหนควรเข้า
ทักษะหรือลักษณะที่ออกมาเป็นลิสต์ แต่ถ้าสังเกตดูดี ๆ เกินครึ่งเป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ทิ้งหมดเลยดังนั้นอารมณ์ในการเทรดระยะสั้นมาก ๆ เทรดแบบ Scalping เป็นสิ่งที่จะกำหนดได้ว่านักลงคนนั้น ๆ จะสามารถทำกำไรหรือไปต่อกับการเทรดรูปแบบนี้ได้ไหม
การเทรดแบบ Scalping ดีกว่า DayTrade ไหม
คำตอบที่ถูกต้องที่สุดคือ “แล้วแต่คน” เพื่อให้เข้าใจการตอบคำถามได้ง่ายขึ้นเราต้องอธิบาย Day Trade ด้วย ซึ่งการเทรดแบบ Day Trade
- ระยะเวลาในการถือครอง: ตั้งแต่ไม่กี่นาทีถึงตลอดทั้งวัน แต่ไม่ถือข้ามวัน
- จำนวนการซื้อขาย: น้อยกว่า Scalping แต่ยังคงมีจำนวนมากกว่าการเทรดระยะยาว
- กำไรต่อการซื้อขาย: มากกว่า Scalping แต่จำนวนการซื้อขายน้อยกว่า
- ความต้องการด้านทักษะ: ต้องมีทักษะการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการอ่านกราฟที่ดี รวมถึงความสามารถในการตัดสินใจอย่างรวดเร็วในบางครั้ง
- ความเครียด: ปานกลาง เนื่องจากการเทรด Day Trading ไม่ต้องการการติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดตลอดเวลาเหมือน Scalping
- การบริหารความเสี่ยง: จำเป็นต้องมีแผนการจัดการความเสี่ยงที่ดีเช่นกัน แต่มีเวลาในการตัดสินใจและวางแผนมากกว่า Scalping
จะเห็นได้ว่าการเทรดแบบ Scalping กับ DayTrade มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนแต่ถ้าจะแยกความแตกต่างง่าย ๆ คือ
- การเทรดแบบ Scalping เหมาะสมกับคนที่สามารถรับความเครียดได้มาก มีเวลาติดตามตลาดแบบใกล้ชิดตลอดเวลา มีทักษะในการวางแผนจุดเข้าจุดออก หรือ Technical Analysis ที่ดี
- การเทรดแบบ DayTrade เหมาะสมกับคนที่รับความเสี่ยงได้น้อยกว่า ไม่มีเวลาติดตามตลาดแบบใกล้ชิด มีทักษะในการวางแผนกลางๆ (Technical Analysis) แต่เข้าใจเศรษฐกิจกับธุรกิจมากๆ (Fundamental Analysis)
องค์ประกอบของการเทรดแบบ Scalping คืออะไร?
การเทรดแบบ Scalping เป็นกลยุทธ์การซื้อขายที่เน้นการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะเวลาสั้น ๆ โดยใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาดในช่วงเวลาสั้น ๆ นอกจากอารมณ์ของนักลงทุนที่เป็นปัจจัยหลักแล้วยังมีปัจจัยต่อไปนี้เป็นองค์ประกอบรองตามมาของการเทรดแบบ Scalping
- สินทรัพย์ : เนื่องจากการเทรดแบบ Scalping เป็นการทำกำไรระยะสั้นมาก ๆ จึงต้องการความผันผวนของสินทรัพย์ค่อนข้างมากในการทำกำไร ซึ่งสินทรัพย์ที่เหมาะสมกับการเทรดแบบ Scalping คือ Forex, Futures และ Cryptocurrencies เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทุกวันที่การเทรดแบบ Scalping จะสามารถทำกำไรได้เพราะบางจังหวะ หรือบางช่วงเวลาที่ตลาดไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีข่าว ไม่มีแรงซื้อและแรงขาย ตลาดออกข้าง (Side Way) ในช่วงนั้นการเทรดแบบ Scalping จะไม่สามารถทำกำไรได้เลย และการเปิดเพื่อทำกำไรจากความผันผวนระยะสั้นมาก ๆ และเล็กมาก ๆ อาจจะไม่คุ้มกับเงินค่าธรรมเนียมที่เสียไปกับการใช้เครื่องมือทางการเงินต่างๆ อย่าง Future เป็นต้น
ดังนั้นนักลงทุนที่เทรดแบบ Scalping จะเล่นตามข่าว หรือเวลาที่ราคาเข้าใกล้จุดสำคัญตามกลยุทธ์ที่เขาวางไว้ค่อยเข้าเทรด เหมือนกับที่นักลงทุนชอบพูดว่า “จะเทรดในไม้ที่ได้เปรียบเสมอ”
- กลยุทธ์ในการลงทุน : เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะสั้นมาก ๆ การเข้าเทรดส่วนมากจะเกิดจากการวิเคราะห์ราคา (Technical Analysis) หรือ Indicator เป็นเรื่องที่จำเป็นมากที่จะต้องรู้จัก Indicator สำหรับลงทุน โดย
- Indicator เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนและนักเทรดสามารถระบุแนวโน้มของตลาด สร้างสัญญาณซื้อขาย วัดความแข็งแกร่งของแนวโน้ม ประเมินความผันผวน วิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย และยืนยันแนวโน้ม การใช้ Indicator ช่วยในการตัดสินใจการลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพและแม่นยำ นักลงทุนสามารถทำการตัดสินใจที่มีข้อมูลรองรับ เพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการลงทุนและลดความเสี่ยงจากการลงทุนที่ไม่มีข้อมูลสนับสนุน เพื่อช่วยในการตัดสินใจการลงทุน โดย Indicator อย่าง RSI, MACD, Moving Average, Fibonacci Retracement เป็น Indicator พื้นฐาน
ใช้ร่วมไปกับ Price Action และ Demand / Supply Zone
- Price Action คือ วิธีการวิเคราะห์และการเทรดโดยใช้ข้อมูลราคาที่เคลื่อนไหวในตลาดเป็นหลัก โดยไม่พึ่งพาการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ซับซ้อนหรืออินดิเคเตอร์ต่าง ๆ นั่นคือ การเทรดโดยพิจารณาเฉพาะกราฟราคา รูปแบบแท่งเทียน และรูปแบบกราฟที่เกิดขึ้นในตลาด เพื่อทำความเข้าใจแนวโน้มและหาจุดเข้า-ออกของการเทรด
- Demand Zone คือพื้นที่หรือระดับราคาบนกราฟที่มีแนวโน้มที่จะเกิดแรงขายหรือแรงซื้อสูงจากนักลงทุน ที่ผ่านมาในระดับราคานี้มีการซื้อขายสินทรัพย์ในปริมาณมาก ส่งผลให้ราคาหุ้นหรือสินทรัพย์อื่น ๆ มีแนวโน้มที่จะหยุดขึ้นหรือลดลงเมื่อเข้ามาใกล้หรือถึงระดับนี้ การวิเคราะห์ Demand Zone ช่วยให้นักลงทุนสามารถระบุจุดกลับตัวของราคาและวางแผนการซื้อขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ Price Action มักจะนำมาวิเคราห์ไปพร้อมกับจุดที่เคยมีคนซื้อมาก่อนเช่น Demand Zone
- ปริมาณการซื้อขาย : สังเกตปริมาณการซื้อขายที่สูงในบริเวณที่ราคาหยุดขึ้นหรือลดลง ปริมาณการซื้อขายที่สูงมักบ่งบอกถึงการมีอยู่ของแรงขายจำนวนมาก
- การทดสอบระดับราคา : เมื่อราคามาทดสอบบริเวณเดิมหลายครั้งและมีการกลับตัวซ้ำ ๆ บริเวณนั้นถือเป็น Demand Zone ที่แข็งแกร่ง
- การจัดการความเสี่ยง (Money Management) : การเทรดระยะสั้นเป็นการเล่นแบบใช้แนวโน้ม ซึ่งไม่มีทางถูกหรือชนะทุกไม้แน่นอน แต่การจัดการความเสี่ยงที่ดีจะทำให้ในระยะยาวเราไม่ขาดทุน เช่นการวางแผนว่าเอากำไร 1.5 เท่าจากที่ขาดทุน และการแบ่งเงินทั้งหมดออกให้เท่ากันทำให้เล่นได้หลายรอบ และการไม่เทรดด้วยขนาดไม้ (Size) ที่ใหญ่เกินไป เป็นต้น
- วินัยที่ใช้คู่กับกลยุทธ์ : สิ่งนี้คล้าย ๆ กันกับอารมณ์ในการลงทุน คือหลังจากที่เราได้จุดเข้าและจุดออกแล้วหรือได้แผนกลยุทธ์ในการเทรดแล้ว เราต้องปล่อยให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นไปตามแผนที่วางไว้ เช่น วาง Stop Loss หรือจุดขายขาดทุนเอาไว้แล้ว ต้องห้ามขยับจุดขายเพียงเพราะอารมณ์ชั่ววูบ เราเสียก็ต้องยอมรับว่าเสีย เพราะหากขยับจุดขายขาดทุนออกไปเรื่อย ขนาดของการขาดทุนอาจจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และสูญเสียเงินทั้งหมดบัญชีก็เป็นได้ สิ่งนี้เป็นปัญหาหลักของนักลงทุนระยะสั้นหรือนักเก็งกำไรเลย เพราะ นักลงทุนทุกคนจะมีความคิดเข้าข้างตัวเองและมองโลกในแง่บวก คิดว่าเราคิดถูกแล้ว “ราคาแค่ขยับแรงไปหน่อย เดี๋ยวก็ขึ้น”
สรุป
การเทรดแบบ Scalping คือกลยุทธ์การซื้อขายที่เน้นทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาที่มีขนาดเล็กในช่วงเวลาสั้น ๆ ตั้งแต่ไม่กี่วินาทีถึงไม่กี่นาที โดยใช้สภาพคล่องของตลาดที่สูง เช่น Forex, หุ้น และสกุลเงินดิจิทัล ผู้เทรดต้องมีความชำนาญในการใช้เครื่องมือทางเทคนิค (Technical Analysis) และการติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด (Macro Analysis) เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวของตลาด
องค์ประกอบหลักของการเทรดแบบ Scalping ประกอบด้วยการเลือกสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงและสภาพคล่องดี การใช้กลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมโดยใช้ Indicator เช่น RSI, MACD และการวิเคราะห์กราฟราคา (Price Action) รวมถึง Demand/Supply Zone การจัดการความเสี่ยงที่ดี โดยการวางแผนการลงทุน กำหนดจุดขาดทุน (Stop Loss) และการจัดการขนาดของการลงทุนเพื่อป้องกันการสูญเสียที่มากเกินไป และสุดท้ายคือการมีวินัยในการเทรด ยึดมั่นในแผนการที่วางไว้ ไม่เปลี่ยนแปลงจุดขาดทุนหรือจุดทำกำไรเพราะอารมณ์
กลยุทธ์การเทรดแบบ Scalping ต้องการการตัดสินใจที่รวดเร็วและแม่นยำ เนื่องจากการเคลื่อนไหวของราคาสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วในช่วงเวลาสั้น ๆ แม้จะมีศักยภาพในการทำกำไรสูง แต่การเทรดแบบนี้ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน ดังนั้นจึงเหมาะกับนักลงทุนที่มีประสบการณ์และสามารถรับความเสี่ยงได้มากกว่านักลงทุนทั่วไป
หมายเหตุ
คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้