VanEck Crypto Monthly Recap for August 2024

ตุลาคม 05, 2024

thumbnail

VanEck Crypto Monthly Recap for August 2024

 

  ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สินทรัพย์ดิจิทัลส่วนใหญ่มีการปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานและสถิติทางการเงินมีการลดลงท่ามกลางความผันผวนที่เพิ่มขึ้นในตลาดที่กว้างขึ้น โดย Bitcoin (BTC) ลดลง 11% Ethereum (ETH) ลดลง 24% และ Solana (SOL) ลดลง 21% ขณะที่ S&P เพิ่มขึ้น 2% และ Nasdaq เพิ่มขึ้น 1% และตลาดโดยรวมของ Smart Contract Platforms (SCP) ลดลง 12% เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคม

 

การวิเคราะห์ของ Ethereum

  • โดดเด่นมากที่สุด : Tron
  • โดดเด่นน้อยที่สุด : zkSync

 

  แม้จะมีเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบต่อราคาสินทรัพย์ดิจิทัล เนื่องจากสถานการณ์ “Risk-off” ที่เกี่ยวข้องกับ Yen Carry Trade แต่ความเชื่อมั่นต่อคริปโตเคอเรนซียังคงอ่อนแอ หลังจากเหตุการณ์นี้ Bitcoin (BTC) ร่วงลงไปที่ 49,000 ดอลลาร์ และ Ethereum (ETH) ร่วงลงไปที่ 2,100 ดอลลาร์ จากระดับเปิดเดือนสิงหาคมที่ 64,600 ดอลลาร์สำหรับ BTC และ ETH ที่ 2,500 ดอลลาร์ แม้ว่า Bitcoin จะฟื้นตัวกลับมาได้บางส่วนและขึ้นไปอยู่ที่ 58,000 ดอลลาร์ แต่ ETH ยังคงอยู่ที่ 2,500 ดอลลาร์ ผลกระทบจาก Yen Carry Trade ทำให้ความผันผวนของ BTC และ ETH ในช่วง 30 วันที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นเป็น 48% และ 52% ตามลำดับเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า นอกจากนี้ ค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ระหว่าง Bitcoin และ Nasdaq ในช่วง 90 วันเพิ่มขึ้นเป็นระดับสูงสุดในรอบ 18 เดือนที่ 38%

 

  นอกจากปัจจัยที่กดดันให้ราคาลดลงแล้ว การใช้งานบล็อกเชนยังลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่น จำนวนผู้ใช้งานรายวันลดลง 10% รายได้จากค่าธรรมเนียมลดลง 12% และปริมาณการซื้อขายใน DEX ลดลง 4% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกรกฎาคม นอกจากนี้ รัฐบาลเยอรมันและสหรัฐฯ ได้โอน Bitcoin จำนวน 62,000 เหรียญเข้าสู่ตลาดเพื่อขาย รวมถึง Bitcoin จำนวน 124,000 เหรียญที่ได้มาจากการล้มละลายของ Mt. Gox และ Gemini ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 11 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ยอดเงินนี้เท่ากับเงินที่ไหลเข้าสู่ Bitcoin ETPs ในช่วงสองเดือนแรกของการซื้อขาย

 

  ในช่วงปลายเดือน สำนักงาน ก.ล.ต. สหรัฐฯ ยังได้ส่งหนังสือแจ้ง Wells Notice ถึง OpenSea โดยระบุว่าบริษัทยังไม่ได้รับการจดทะเบียน ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าการบังคับใช้กฎระเบียบในสหรัฐฯ อาจยังคงดำเนินต่อไป ยกเว้นว่า Donald Trump จะชนะการเลือกตั้ง

 

 

 

  หนึ่งในประเด็นที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในเดือนสิงหาคมคือความร่วมมือระหว่าง Bitgo ผู้ดูแล WBTC และ Justin Sun โดย WBTC หรือ “Wrapped Bitcoin” เป็นโทเคนที่สำคัญในระบบ DeFi ซึ่งทำงานบนเครือข่าย Ethereum และมีการสำรองโดย Bitgo ซึ่งเก็บ Bitcoin ไว้ใน Bitgo Exchange ผู้ที่ต้องการใช้ WBTC จะต้องแลกเปลี่ยน Bitcoin ของตนกับ WBTC ผ่าน Bitgo Exchange แล้วรับ WBTC บนเครือข่าย Ethereum โดย WBTC มีมูลค่าเท่ากับ Bitcoin ที่ถูกเก็บอยู่บน Bitgo Exchange และการถือครองสินทรัพย์เหล่านี้ได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง

 

  ปัจจุบันมี Bitcoin มากกว่า 153,000 BTC ซึ่งมีมูลค่า 9.2 พันล้านดอลลาร์ ถูก "Wrapped" เข้าสู่ WBTC เพื่อใช้งานในระบบ DeFi ของ Ethereum ตามข้อตกลงการร่วมมือที่ Bitgo จะย้ายการดูแล WBTC ออกนอกสหรัฐอเมริกาไปยังสามประเทศในเอเชีย ความเคลื่อนไหวนี้ทำให้ชาวคริปโตฯ มีปฏิกิริยาเชิงลบ โดยเฉพาะเนื่องจาก Justin Sun มีท่าทีลบและอาจเกิดปัญหากับโปรเจกต์อื่นๆ ที่เขาเกี่ยวข้อง เช่น USDD และ TrueUSD นอกจากนี้ MakerDAO เคยมีการโหวต (Governance Proposal) ซึ่งผลสรุปคือ ห้ามใช้ WBTC เป็นหลักประกันในการสร้าง DAI

 

  ในช่วงเวลาเดียวกัน Coinbase ได้ประกาศสร้างเหรียญใหม่ชื่อ wbBTC ซึ่งมีมูลค่าเท่ากับ BTC ขณะเดียวกัน Bitcoin L2 Babylon ก็ได้เปิดตัว Mainnet ของพวกเขาหนึ่งสัปดาห์หลังจาก Bitgo ประกาศการย้ายการดูแลสินทรัพย์ใหม่นี้ ในขณะที่คู่แข่งเช่น tBTC และ BTC.b มีเงินไหลเข้าประมาณ 250 BTC และ 50 BTC ตามลำดับ

 

 

  ในเดือนสิงหาคม Solana มีการปรับลดตัวลงอยู่ที่ 21% เผชิญกับความวิตกกังวล (FUD) เล็กน้อยจากการเก็งกำไรในคริปโตฯ โดยปริมาณการซื้อขายใน DEX ลดลงประมาณ 22% และเมื่อเปรียบเทียบกับวันที่ 1 มิถุนายน 2024 มีการลดลงถึง 47% ถึงการซื้อขายเหรียญมีมบน Solana จะได้รับความนิยม แต่ก็ถูกมองว่ามีความเสี่ยงสูง รวมถึงมีการฉ่อโกงเกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น เหรียญที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องกับ Donald Trump ถูก "Rugged" ทำให้สูญเงินไปกว่า 2 ล้านดอลลาร์ และมีการแฮ็กบัญชี Instagram ของ McDonald เพื่อโปรโมตเหรียญมีม ซึ่งสุดท้ายก็ได้เงินจากผู้ซื้อไป 700,000 ดอลลาร์ นอกจากนี้ ยังมีเหรียญอื่น ๆ ที่มีสภาพคล่องต่ำกว่า 100,000 ดอลลาร์ แต่กลับมีปริมาณการซื้อขายรายวันมากกว่า 10 ล้านดอลลาร์ ผลลัพธ์คือหลายคนถูก Rugged และสูญเสียเงินไปกับเหรียญมีม โดยคาดว่ามีเพียง 0.76% ของกระเป๋าเงินคริปโตฯ ที่มีกำไรจากเหรียญมีมยอดนิยมอย่าง pump.fun

 

  เทรดเดอร์รายย่อยเริ่มตระหนักว่าการซื้อขายเหรียญมีมมักไม่ได้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งทำให้ความเชื่อมั่นในการซื้อขายเหรียญมีมลดลงถึง 43% เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อน ขณะที่ปริมาณการซื้อขายบน DEX ทั้งหมดของ Solana ลดลง 48% ส่งผลให้ค่าธรรมเนียมของ Solana ในเดือนนี้ลดลง 35%

 

  อย่างไรก็ตาม มีข่าวดีสำหรับสาวก Sol โดย Spot Solana ETF ตัวแรก (และตัวที่สอง) ได้มีการเปิดตัวในบราซิล นั้นคือ Project DePIN GRASS ได้แจก Airdrop รวมไปถึงแพลตฟอร์มฟิวเจอร์ส Drift ได้เปิดตัว Prediction Market นอกจากนี้ เหรียญ Stablecoin ของ PayPal หรือ PYUSD มีอุปทานสูงถึง 664 ล้านดอลลาร์บน Solana ซึ่งเกือบสองเท่าของอุปทาน 345 ล้านดอลลาร์บน Ethereum ในเดือนสิงหาคม อุปทานรวมของ Stablecoin บน Solana สูงถึง 3.9 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 160% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว

 

  Solana ออกแบบมาเพื่อประมวลผลมากกว่าหมื่นธุรกรรมต่อวินาที ซึ่งถ้ามีธุรกรรมบนบล็อกเชนมากขึ้นเท่ากับว่า การเขียนข้อมูลก็มากขึ้น ส่งผลให้ข้อมูลที่ถูกจัดเก็บบนบล็อกเชนมีมากขึ้น โดยขณะที่บล็อกของ Bitcoin มีขนาดประมาณ 1.6MB และเกิดขึ้นทุก 10 นาที แต่บล็อกของ Solana มีขนาดสูงถึง 128MB และเกิดขึ้นทุกครึ่งวินาที ผลลัพธ์คือบล็อกเชนของ Bitcoin มีขนาดประมาณ 550 GB สำหรับข้อมูลประวัติ 15 ปี ในขณะที่บล็อกเชนของ Solana มีขนาดประมาณ 150TB (ใหญ่กว่าถึง 272 เท่า) สำหรับข้อมูลประวัติราว 4.5 ปี

 

  ปัญหาของ Solana คือการเก็บประวัติธุรกรรม และการเข้าถึงข้อมูลมีค่าใช้จ่ายที่สูงและเป็นเรื่องที่เข้าถึงยากและการตรวจสอบธุรกรรมย้อนหลัง หรือดูยอดเงินคงเหลือในบัญชีนั้นมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งในปัจจุบัน Solana คาดหวังให้มีบริษัทเอกชนเข้ามาให้บริการแก่ผู้ที่ต้องการตรวจสอบประวัติย้อนหลังการใช้งานของ Solana และ Allium หนึ่งในบริษัทที่สามารถเข้าถึงข้อมูลธุรกรรมย้อนหลังของ Solona ได้

 

  หากต้องทำการตรวจสอบบัญชี การตรวจสอบธุรกรรมย้อนหลังของ Solana จะต้องใช้เงินจำนวนมาก เนื่องจากความไม่มั่นคงและความไม่เชื่อมั่นในกระบวนการทำงานของ Solana ทำให้ยากที่จะเชื่อว่าเชนนี้ทำงานได้โดยไม่มีข้อบกพร่อง เช่น การใช้จ่ายเงินซ้ำซ้อน ขนาดข้อมูลของ Solana ใหญ่เกินไปซึ่งเป็นปัญหาที่ไม่เกิดขึ้นกับบล็อกเชนที่มีปริมาณธุรกรรมต่ำ แม้ว่าการตรวจสอบประวัติจะเป็นเรื่องยาก แต่การตรวจสอบแบบ Real-time Verification ยังคงสามารถทำได้สำหรับ Full node โดยบล็อกเชนใหม่อย่าง Aptos และ Sui กำลังพยายามแก้ไขปัญหาเหล่านี้ด้วยการออกแบบที่แตกต่างจาก Solana ในทางปฏิบัติ ข้อจำกัดด้านข้อมูลขนาดใหญ่ของ Solana อาจก่อให้เกิดปัญหาเดียวกันกับบล็อกเชนที่มีประสิทธิภาพสูงอื่น ๆ ด้วย

 

  ในด้านของ Polymarket ซึ่งถูกจัดตั้งบนบล็อกเชน Polygon ก็เป็นอีกหนึ่งจุดสนใจในช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ Polymarket เป็นแพลตฟอร์มเดิมพันแบบไร้ศูนย์กลางที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสร้างตลาดการเดิมพันและเก็งกำไรเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ เช่น การเมือง กีฬา การเงิน วัฒนธรรมสมัยนิยม เป็นต้น โดย Polygon ใช้ข้อมูลจาก Oracle ของ Uma ในการดำเนินการจ่ายผลตอบแทนเดิมพัน เมื่อเปรียบเทียบกับการเดิมพันในโลก Web2 แล้ว Polymarket มีข้อได้เปรียบที่ชัดเจน เพราะไม่มีตัวกลางที่มาคอยตัดสินหรือแทรกแซงระบบ

 

  โดยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีการเดิมพันรวมมากกว่า 440 ล้านดอลลาร์จากผู้ใช้งาน 60,000 คน และได้รับการโปรโมทจาก Bloomberg อีกด้วย อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปริมาณการเดิมพันสูง แต่ Polymarket สร้างค่าธรรมเนียมให้กับ Polygon เพียง 17,900 ดอลลาร์เท่านั้น

 

 

  ข่าวล่าสุดเกี่ยวกับ Stablecoin คือ Tether (USDT) ตัดสินใจยุติแผนการเปิดตัวบล็อกเชนของตนเอง เนื่องจากมองว่าตลาดในปัจจุบันอิ่มตัวแล้ว อีกความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจคือ MakerDAO ได้ตัดสินใจรีแบรนด์เป็น SKY โดยจะอัปเกรดโทเคน DAI เป็น USDS และเปลี่ยนโทเคน MAKER เป็น SKY ในกระบวนการนี้ การดูแลและจัดการจะยังคงอยู่ภายใต้ Maker ผู้ใช้จะสามารถเลือกอัปเกรดโทเคน DAI หรือ MAKER เพื่อรับรางวัลและอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่เรียกว่า Sky Savings Rate ซึ่งจะเปิดให้บริการในบางประเทศเท่านั้น นอกจากนี้ แผน Endgame ของ Maker ยังอนุญาตให้หน่วยงานอิสระที่เรียกว่า Stars สามารถเปิดตัว Stablecoin ใหม่ ๆ ที่มีนวัตกรรมได้

 

  ในขณะเดียวกัน Circle ผู้สร้าง USDC ได้เปิดตัว Stablecoin ใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจากเงินยูโร ชื่อว่า EURC ซึ่งจะใช้บนเครือข่าย Base นอกจากนี้ Agora ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก VanEck เป็นอีกหนึ่ง stablecoin ที่เติบโตอย่างรวดเร็วตั้งแต่เปิดตัวเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม โดยปัจจุบันมีมูลค่าถึง 57.5 ล้านดอลลาร์บนเครือข่าย Avalanche และ Ethereum

 

  Agora มีแผนที่จะขยายไปยังเชนอื่น ๆ เช่น Sui ซึ่งจะทำให้ Agora กลายเป็น Stablecoin ที่ได้รับการสนับสนุนจากสกุลเงิน Fiat ตัวแรกบน Sui กลยุทธ์ของ Agora คือการเติบโตผ่านข้อตกลงแบ่งปันรายได้และความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Protocol CEX หรือ DEX

 

Breaking Down Ethereum’s Struggles

 

  Ethereum หรือ ETH มีผลตอบแทนต่ำตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2023 โดยเมื่อเปรียบเทียบกับโปรเจกต์ Layer 1 จำนวน 22 โปรเจกต์ ETH ทำผลตอบแทนรายปีอยู่ที่ 62% ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 13 น้อยกว่าผลตอบแทนของ Bitcoin หรือ BTC ที่ 138% และต่ำกว่าผลตอบแทนของ Solana ถึง 624%

 

  ตัวอย่างเช่น ในช่วง 90 วันที่ผ่านมา ETH ลดลง 30% อยู่ในอันดับที่ 12 จาก 22 โปรเจกต์ Layer 1 ส่วนโปรเจกต์คู่แข่งอย่าง BNB ลดลง 5% TRX เพิ่มขึ้น 37% และ TON ลดลง 3% นอกจากนี้ ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา ETH มีผลตอบแทนที่แย่มากที่ -23% ทำให้ตกอยู่ในอันดับที่ 19 จากบล็อกเชน Layer 1 ทั้งหมด

 

 

 

We attribute ETH’s dismal performance to the following factors:

 

1. รายได้ของ Ethereum ลดลง: เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนหน้า Ethereum ประสบปัญหาการลดลงของรายได้

2. การย้ายไปที่บล็อกเชนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า: ผู้ใช้และโปรเจกต์หลายรายได้ย้ายไปยังบล็อกเชนที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า ทำให้ Ethereum สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดและรายได้

3. Layer 2 ดึงรายได้จาก Ethereum: เทคโนโลยี Layer 2 เช่น zk-Rollups และ Optimistic Rollups ได้ดึงรายได้จาก Ethereum เช่น ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมและค่า MEV (Miner Extractable Value)

4. การลดค่าธรรมเนียมให้กับเทรดเดอร์ Layer 2: Ethereum ได้ลดค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการใช้งาน Layer 2 ซึ่งส่งผลให้มีการพึ่งพา Layer 2 มากขึ้นในการทำธุรกรรม

5. การดึงมูลค่าจาก Ethereum: บล็อกเชน Layer 2, Data Availability Staking และ Re-staking ได้ดึงมูลค่าจาก Ethereum ทำให้เกิดผลกระทบต่อการสร้างรายได้ของ Ethereum

 

หากการเก็งกำไรไม่เกิดขึ้น รายได้ของบล็อกเชนจะต้องพึ่งพาศักยภาพในระยะยาวในการพัฒนาและขยายตลาดเพื่อให้มีความยั่งยืนและเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

Ethereum's Decline in the Face of Faster Competitors

 

  Ethereum เคยเป็นจุดหมายที่สำคัญสำหรับการเก็งกำไรในตลาดคริปโตฯ เนื่องจากเป็นบล็อกเชนที่นำเสนอฟีเจอร์ Smart Contract ตัวแรก ซึ่งช่วยดึงดูดโปรเจกต์และระบบนิเวศ (Ecosystem) ต่าง ๆ เข้ามาพัฒนาบน Ethereum

 

  อย่างไรก็ตามในปัจจุบัน บล็อกเชนใหม่ที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าได้เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดจาก Ethereum บล็อกเชนเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีที่ดีกว่าเพื่อรองรับปริมาณธุรกรรมที่มากขึ้นและการประมวลผลที่เร็วขึ้น เช่น Solana Sui และ Aptos สามารถประมวลผลหลายพันธุรกรรมต่อวินาที (TPS) โดยมีเวลายืนยันธุรกรรมเพียงไม่กี่วินาที ในขณะที่ Ethereum สามารถประมวลผลได้เพียง 15 ธุรกรรมต่อวินาที โดยมีเวลายืนยันที่นานกว่ามาก

 

  นอกจากนี้ บล็อกเชนรุ่นใหม่ยังสามารถทำธุรกรรมแบบขนานได้ ซึ่งหมายความว่าธุรกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับกันสามารถดำเนินการพร้อมกันได้โดยไม่ติดขัด ขณะที่ Ethereum ต้องทำธุรกรรมแบบลำดับ ซึ่งหากมีความต้องการสูงในบางส่วนของเครือข่าย ธุรกรรมอื่น ๆ จะต้องรอคิว ทำให้เกิดปัญหาความล่าช้าและค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น

 

  เนื่องจากข้อจำกัดของ Ethereum นักพัฒนาจึงเริ่มหันไปใช้บล็อกเชนอื่นที่สามารถรองรับผู้ใช้จำนวนมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้หลายโปรเจกต์ที่มีชื่อเสียง เช่น Helium และ Hivemapper ได้ย้ายไปพัฒนาบนแพลตฟอร์มอื่น ๆ ทำให้ Ethereum สูญเสียโทเคนที่น่าสนใจและมีค่ามากขึ้น ส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมของ Ethereum ในตลาดบล็อกเชนลดลงอย่างมีนัยสำคัญจาก 86% เหลือ 33% ตั้งแต่ปี 2022 ขณะที่ส่วนแบ่งปริมาณการซื้อขายใน DEX ของ Ethereum ลดลงจาก 42% เหลือ 29% ซึ่งสะท้อนถึงการสูญเสียความเป็นผู้นำในตลาดทั้งในฐานะแพลตฟอร์มสำหรับการเก็งกำไรและในด้านการดึงดูดนักเก็งกำไร

 

  การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า Ethereum กำลังเผชิญกับความท้าทายอย่างจริงจังในการรักษาตำแหน่งผู้นำในตลาดคริปโต และต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากบล็อกเชนใหม่ที่มีเทคโนโลยีที่ดีกว่าและสามารถรองรับการใช้งานที่เพิ่มขึ้นได้

 

 

Ethereum's Shift to Layer-2: A Double-Edged Sword?

 

  Ethereum ได้พยายามแก้ปัญหาในการขยายตัวด้วยการผลักดันธุรกรรมไปยังบล็อกเชนทางเลือก เช่น Layer 2 (L2) อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้กลับไม่สามารถสร้างมูลค่าให้กับ ETH ได้เท่าที่ควร บล็อกเชน L2 ไม่เพียงแต่ตัดส่วนแบ่งของ Ethereum แต่ยังให้ประสบการณ์การใช้งานที่ด้อยกว่าเมื่อเทียบกับบล็อกเชนคู่แข่งที่มีความสามารถสูงกว่า

 

  การย้ายธุรกรรมไปยัง Layer 2 (L2) ส่งผลให้รายได้จาก MEV (Miner Extractable Value) และค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมของ Ethereum ลดลง เนื่องจากธุรกรรมส่วนใหญ่ถูกจัดการโดย L2 แม้ว่า L2 จะส่งค่าธรรมเนียมบางส่วนกลับมายัง Ethereum ผ่านการยืนยันธุรกรรม แต่ส่วนแบ่งค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมของ Ethereum ลดลงจาก 98% เหลือ 89% ตั้งแต่ปี 2022 นอกจากนี้ ส่วนแบ่งการซื้อขาย DEX ของ Ethereum ลดลงจาก 90% เหลือเพียง 52% ซึ่งสะท้อนถึงการลดลงของปริมาณธุรกรรมบน Ethereum และค่าธรรมเนียมที่ลดลง

 

  Ethereum ได้อนุมัติ EIP-4844 เพื่อเพิ่มช่องทางการประมวลผลสำหรับธุรกรรม L2 ซึ่งช่วยลดรายได้ของทั้ง Ethereum และ L2 ตั้งแต่ต้นปี 2024 โดยรายได้จากค่าธรรมเนียมของ Ethereum ลดลงจากประมาณ 6 ล้านดอลลาร์เหลือ 1.2 ล้านดอลลาร์ในเดือนสิงหาคม นอกจากนี้ยังมีการเปิดตัวโทเคนใหม่ ๆ ที่แข่งขันกับ Ethereum เช่น โทเคนของ L2 และโทเคนที่เกี่ยวข้องกับการ Re-staking ซึ่งทำให้มูลค่าของ Ethereum ถูกกดดันและมีนักลงทุนรายใหญ่ที่สนับสนุนโครงการเหล่านี้ในการแย่งส่วนแบ่งจากธุรกิจหลักของ Ethereum ทำให้เกิดแรงกดดันต่อราคาและมูลค่า ETH

 

 

  ในเดือนสิงหาคม Polygon และ Optimism มีค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 30 วันของสัญญาต่อผู้พัฒนาเพิ่มขึ้นประมาณ 7.9 เท่า และ 4.8 เท่าตามลำดับ อย่างไรก็ตาม MATIC และ OP กลับมีผลการดำเนินงานที่อยู่ในระดับกลาง โดยราคาลดลง 15% และ 14% ตามลำดับ

 

  นักพัฒนา Polygon PoS กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับการปรับใช้สัญญาเพื่อรองรับการเปิดตัว PIP-19 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการขยายตัวของ Polygon 2.0 ที่มีกำหนดในวันที่ 4 กันยายน การอัปเกรดครั้งนี้จะเปลี่ยนชื่อโทเคนดั้งเดิม MATIC ไปเป็น POL ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับบล็อกเชน Layer 2 แบบ ZK ซึ่งจะทำให้ POL มีบทบาทสำคัญในการสเตกกิ้งและการกำกับดูแล โดยชุมชนจะมีส่วนร่วมมากขึ้นในการจัดการเครือข่าย POL ยังถูกปรับให้เหมาะสมสำหรับการพัฒนาเครือข่ายรวมของ Polygon ที่เรียกว่า "AggLayer" ซึ่งมุ่งเน้นการเป็นโซลูชันการขยายตัวที่ไม่เหมือนใคร แทนที่จะมุ่งเน้นการแข่งขันแบบแยกส่วนเช่นที่เห็นใน Ethereum และ Solana การอัปเกรดนี้มีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความสามารถในการขยายตัวของ Polygon โดยการรวมฟังก์ชันการทำงานของ Layer 2 และการพัฒนาต่อเนื่องเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของเครือข่าย

 

 

 ในส่วนของ Optimism มีการพัฒนาที่สำคัญสองประการที่ควรให้ความสนใจ คือการแก้ไขช่องโหว่ใน Fraud Proof ซึ่งเป็นมาตรการที่สำคัญในการรักษาความปลอดภัยและความเชื่อถือได้ของเครือข่าย และ การเตรียมพร้อมสำหรับการอัปเกรด Superchain ก่อนที่จะเปิดตัว OP Labs ซึ่งมีกำหนดในต้นปี 2025 โดยการอัปเกรดเครือข่าย Granite ได้รับการอนุมัติและมีกำหนดดำเนินการในวันที่ 10 กันยายน Sony Group ประกาศการพัฒนา Ethereum L2 ของตัวเองที่เรียกว่า 'Soneium' โดยใช้ OP Stack ในขณะเดียวกัน Arbitrum มีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าเกณฑ์ โดย ARB ของ Arbitrum ลดลง 23% โดยไม่พบการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมหรือจำนวนนักพัฒนา Arbitrum DAO ได้เสนอและอนุมัติการพัฒนา ARB Staking ซึ่งจะให้รางวัลแก่ผู้ถือโทเคนที่มีส่วนร่วมใน Governance

 

 

  Base ของ Coinbase เป็น Ethereum L2 ที่ใหญ่ที่สุดในแง่ของจำนวนผู้ใช้งานรายวัน และจำนวนผู้ใช้งาน Smart Contact นั้นยังมากกว่า Arbitrum, Blast, OP Mainnet และ Polygon PoS รวมกันเกือบ 10 เท่า Developer ต่างเลือกสร้างบน Base เนื่องจาก Coinbase มีข้อได้เปรียบในการเข้าถึงลูกค้าโดยตรงจากการเป็นแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนคริปโตฯ ที่ใหญ่ที่สุด

 

  ข้อได้เปรียบของ Base คือการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้งานทั้งภายในและภายนอกบล็อกเชน โดย Base ยังเป็นส่วนหนึ่งของ OP Stack และมีส่วนร่วมในโมเดลการแบ่งปันรายได้ของ Superchain โดยสร้างรายได้ประมาณ 142.45 ETH (ประมาณ 367,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ) ให้กับ Superchain Collective ในเดือนนี้ ซึ่งมากเป็นอันดับสองรองจาก OP Mainnet Base และ Optimism

 

August’s Notable Performer - Tron (+20%)

 

 

  โทเคน TRX ของ Tron โดดเด่นขึ้นมาอีกครั้งโดยราคาเพิ่มขึ้นถึง 20% แตะระดับที่ไม่เคยเห็นมาตั้งแต่เดือนเมษายน 2021 ซึ่งหนึ่งในปัจจัยสำคัญคือการเปิดตัวแพลตฟอร์ม Sun Pump รุ่น Beta ในช่วงกลางเดือนสิงหาคม ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มีรูปแบบคล้ายกับ pump.fun ของ Solana และถูกตั้งชื่อตาม Justin Sun ผู้ก่อตั้ง Tron โดย Sun Pump ช่วยให้สามารถสร้างเหรียญมีม (Meme Coin) ได้อย่างรวดเร็ว ภายในวันที่ 28 สิงหาคม Sun Pump ได้สร้างเหรียญมีมกว่า 56,000 เหรียญบน Tron และสร้างรายได้กว่า 23 ล้าน TRX หรือประมาณ 3.64 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

 

  ความสำเร็จเริ่มต้นของ Sun Pump นับเป็นการขยายตัวที่สำคัญของ Tron ซึ่งเคยเน้นไปที่การลงทุนและการโอนย้าย Stablecoin โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ข้อมูลจาก Artemis แสดงให้เห็นว่ามูลค่าของ Stablecoin บนบล็อกเชน Tron นั้นสูงกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับบล็อกเชนอื่น ๆ นอกจากนี้ Tron ยังได้แซง Ethereum ในฐานะบล็อกเชนที่มี Tether (USDT) หมุนเวียนมากที่สุดในโลก อย่างไรก็ตาม Tron ต้องเผชิญกับความท้าทายเมื่อ Tron DAO Reserve ได้ถอน Bitcoin มูลค่า 732 ล้านดอลลาร์ออกจากการสำรองของ USDD โดยไม่มีการลงมติจากชุมชน Justin Sun จึงได้ทวีตเพื่อสร้างความมั่นใจโดยกล่าวว่าจะมีการปรับปรุง USDD ให้เป็น stablecoin ที่แข่งขันได้มากขึ้นในตลาด

 

  ถึงแม้ Tron จะมีความแข็งแกร่งในตลาด Stablecoin แต่มองอีกมุมได้ว่า มีความเสี่ยงสูงจากการควบคุมของ Justin Sun โดยเฉพาะในกรณีของ USDD ซึ่งพึ่งพา TRX ในการค้ำประกัน ซึ่งอาจเสี่ยงต่อการล้มเหลวเช่นเดียวกับ UST ของ Terra/LUNA

 

 

 ZK ของ zkSync มีมูลค่าลดลงถึง 24% สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของจำนวนผู้ใช้ที่ชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับ Layer 2 ตัวอื่น ๆ ของ Ethereum เช่น Base และ Arbitrum โดยการเติบโตของจำนวนผู้ใช้รายวันของ zkSync นั้น ล้าหลัง L2 อื่น ๆ สาเหตุสำคัญที่ทำให้ zkSync ชะลอตัวเกิดจากการขาดแรงจูงใจจากการฟาร์ม Airdrop ที่เคยเป็นปัจจัยขับเคลื่อนการเติบโต

 

  ก่อนหน้านี้ zkSync กระตุ้นความคาดหวังว่าจะมีแจก Airdrop ซึ่งทำให้ผู้ใช้เข้ามาใช้งานเครือข่ายเพื่อเพิ่มโอกาสการได้รับโทเคน ZK อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเปิดเผยรายละเอียด Airdrop ในเดือนมิถุนายน 2023 การกระจายโทเคนกลับถูกวิจารณ์ว่าไม่มีการป้องกัน Sybil ซึ่งเป็นช่องโหว่ที่ทำให้ผู้ใช้หลายบัญชีสามารถรับโทเคนมากเกินไป ในขณะที่ผู้ใช้บางส่วนกลับไม่มีสิทธิ์ได้รับ Airdrop สร้างความไม่พอใจใน ชาว Airdrop Hunter

 

  จากการขาดแรงจูงใจอย่างต่อเนื่องและอุปทานของโทเคน ZK ที่ยังไม่ได้ปล่อยออกมาอีก 83% ทำให้เกิดแรงกดดันในการขาย เนื่องจากนักลงทุนอาจต้องการขายโทเคนเพื่อทำกำไรหรือหลีกเลี่ยงความเสี่ยง

 

  นอกจากนี้ zkSync ต้องเผชิญกับการแข่งขันจาก Base และ Ethereum Layer 2 อื่น ๆ ที่กำลังพัฒนาแอปพลิเคชันที่รองรับการตรวจสอบบนเครือข่าย ซึ่งการเติบโตที่มาจากความต้องการใช้แอปพลิเคชันที่แท้จริงและยั่งยืนมีแนวโน้มจะคงทนมากกว่าการเติบโตที่มาจากการเก็งกำไรและการแจก airdrop ที่อาจเป็นเพียงการกระตุ้นชั่วคราว

 

  การแข่งขันในตลาด Ethereum Layer 2 จะมุ่งเน้นที่การนำเสนอเทคโนโลยีและบริการที่มีคุณค่าและใช้งานได้จริง เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว แทนที่จะพึ่งพาการสร้างแรงจูงใจที่เป็นเพียงการกระตุ้นระยะสั้น

 

 

อ้างอิงบทความจาก VanEck Crypto Monthly Recap for August 2024

September 05, 2024

https://www.vaneck.com/us/en/blogs/digital-assets/matthew-sigel-vaneck-crypto-monthly-recap-for-august-2024/

 

หมายเหตุ

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Merkle Capital คือผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานก.ล.ต. บริษัทให้การดูแลและบริหารเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและการบริหารจัดการ