มิถุนายน 27, 2024
พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล เป็นกฏหมายรูปแบบหนึ่งที่ถูกร่างและบังคับใช้เพื่อกำหนดกฏเกณฑ์ในโลกสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยเนื่องจาก ในอดีตที่ผ่านมาได้มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นเครื่องมือระดมทุนจากประชาชน และเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนแต่ยังไม่มีกฏหมายที่กำกับดูแลทำให้เกิดความเสี่ยงจากการประกอบธุรกิจและอาจส่งผลกระทบต่อประชาชนจึงทำให้เกิด พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล
“Bitcoin” หรือ “คริปโตฯ” ที่ได้ยินกันบ่อย ๆ นั้นเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทหนึ่ง ที่เป็นหน่วยอิเล็กทรอนิกส์ชนิดหนึ่งที่มีมูลค่า สามารถซื้อขาย ส่งต่อ และลงทุนได้ในโลกดิจิทัล โดยทั่วไปสามารถแบ่งประเภทสินทรัพย์ดิจิทัลได้หลากหลายรูปแบบ ในประเทศไทยได้มีการแบ่งประเภทสินทรัพย์ดิจิทัลตามหลักเกณฑ์ของ พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล โดยมีการแบ่งประเภทเป็น คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) และ โทเค็นดิจิทัล (Token Digital) ซึ่งโทเค็นดิจิทัลได้มีการแบ่งประเภทย่อยออกเป็น 2 ส่วนได้แก่ โทเค็นเพื่อการลงทุน (Investment Token) โทเค็นดิจิทัลเพื่อการใช้ประโยชน์ (Utility Token)
คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) หรือสกุลเงินดิจิทัล ตามความหมายของ พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล คือ หน่วยอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็น สื่อกลางในการเเลกเปลี่ยนสินค้า บริการ หรือใช้แลกเปลี่ยนระหว่างสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงหน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์อื่นที่คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. กำหนด ซึ่งมูลค่าของคริปโตฯ นั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้ซื้อและผู้ขายเป็นหลัก โดย Bitcoin ถือเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่ได้รับความนิยมและใช้เเลกเปลี่ยนมากที่สุดสกุลหนึ่ง
โทเค็นดิจิทัล (Token Digital) หน่วยอิเล็กทรอนิกส์ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิในการเข้าร่วมลงทุนในโครงการหรือสิทธิในการเข้าถึงสินค้า บริการ หรือสิทธิอื่นที่ถูกกำหนดไว้ ดังนั้นมูลค่าของโทเค็นดิจิทัลจะขึ้นอยู่กับมูลค่าของสิทธิที่ถูกกำหนดไว้ว่าจะได้รับ ซึ่งการนำเสนอขายโทเค็นดิจิทัลในประเทศไทยต้องทำผ่านกระบวนการ Initial Coin Offering (ICO) ผ่านผู้ให้บริการ ICO Portal เท่านั้น โดยที่ตามพ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์และข้อกำหนดของผู้ให้บริการ ICO ดังนี้
นอกจากนั้นแล้วเพื่อให้ง่ายต่อการแบ่งประเภทโทเค็นดิจิทัลตาม พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลจึงได้มีการแบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
ในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงหลายรูปแบบ โดยบทความนี้จะพามารู้จักความเสี่ยงส่วนใหญ่ที่มักพบเจอในเมื่อเข้าสู่โลกของสินทรัพย์ดิจิทัล
การเติบโตอย่างรวดเร็วของสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น คริปโตเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) และโทเค็นดิจิทัล (Token Digital) ได้นำมาสู่การเปลี่ยนแปลงใหม่ ๆ สำหรับประชาชนทั่วไป ผู้ให้บริการ ผู้กำกับดูแลระบบการเงิน และผู้บังคับใช้กฏหมายทั่วโลกที่ต้องมีการทำความเข้าใจรูปแบบการทำงาน จุดเด่นที่สามารถพัฒนาได้ของสินทรัพย์ดิจิทัล รวมถึงความเสี่ยงและจุดที่ต้องระวัง เพื่อป้องกันการนำสินทรัพย์ดิจิทัลไปใช้ในทางที่ผิดอย่างเช่นการ ฟอกเงิน การหลอกลวง และการกระทำที่ผิดกฎหมายอื่น ๆ โดยในประเทศไทยได้มีการจัดทำ พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อให้เป็นแนวทางปฏิบัติสำหรับผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล
ก่อนที่จะทำความรู้จัก พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล มาทำความรู้จัก พ.ร.ก. หรือ พระราชกำหนด ว่าคืออะไรแตกต่างจากกฏหมายปกติอย่างไร
พระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เป็นกฎหมายรูปแบบหนึ่งซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงตราขึ้นโดยคำแนะนำและยินยอมของคณะรัฐมนตรี โดยอาศัยอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญวางไว้ว่าเป็นกรณีฉุกเฉิน ที่มีความจำเป็นรีบด่วนอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ หรือ พูดง่าย ๆ ว่าเป็นเครื่องมือในการให้ฝ่ายบริหารมีอำนาจตรากฎหมายแทนสภา แต่ต้องมีเหตุจำเป็นและฉุกเฉิน
เมื่อวันที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561 ในประเทศไทยคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่าง พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล ต่อมาเมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2561 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบร่างพระราชกำหนด ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอและได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 โดยมีผลใช้บังคับ ตั้งแต่วันถัดจากวัน ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้น ไปหรือเริ่มต้นตั้งแต่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2561
เมื่อพูดถึงเหตุผลเบื่องหลังความจำเป็นของ พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัลในการบังคับใช้กฎหมายหลัก ๆ สามารถแบ่งเป็นเหตุผลหลัก ๆ ได้ดังนี้
และในหลาย ๆ ประเทศได้พัฒนากฎหมายและข้อบังคับเพื่อจัดการกับสินทรัพย์ดิจิทัลและมีหน่วยงานกำกับดูแลที่เกี่ยวข้องดังนี้
สหรัฐอเมริกา : ในสหรัฐอเมริกา หน่วยงานต่าง ๆ เช่น ก.ล.ต. (Securities and Exchange Commission) และ CFTC (Commodity Futures Trading Commission) มีหน้าที่กำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัล
สหภาพยุโรป : ในสหภาพยุโรป การกำกับดูแลสินทรัพย์ดิจิทัลมักจะเป็นหน้าที่ของ ESMA (European Securities and Markets Authority) และ EBA (European Banking Authority)
ในส่วนความท้าทายในการบังคับใช้กฎหมายในโลกสินทรัพย์ดิจิทัลถือเป็นจุดสำคัญที่ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากเหตุผลดังต่อไปนี้
นอกเหนือจากการกำกับดูแลผ่านการบังคับใช้กฏหมายแล้วประเทศไทยได้มีการส่งเสริมและพัฒนาการใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่หลายโครงการหนึ่งในนั้นคือโครงการ Central Bank Digital Currency (CBDC) หรือ เงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ สามารถรักษามูลค่า และเป็นหน่วยวัดทางบัญชีได้ สำหรับโครงการบางขุนพรหม จะทดสอบ Retail CBDC ซึ่งหมายถึงเงินดิจิทัลสำหรับการใช้งานในระดับประชาชนในวงจำกัด โดยประชาชนที่เข้าร่วมทดสอบสามารถใช้ Retail CBDC ในการชำระค่าสินค้าและบริการที่เข้าร่วมโครงการได้
ปัจจุบันหลังจากโครงการอินนนท์ที่เป็นรากฐานสำคัญของ CBDC ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีการพัฒนาและต่อยอดอยู่ได้มีการต่อยอดออกเป็นโครงการ
โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปอ่านผลรายละเอียดและความคืบหน้าการทดสอบโครงการ CBDC ได้ที่เว็บไซต์ธนาคารแห่งประเทศไทย
สรุป สินทรัพย์ดิจิทัลถือว่าเป็นการพัฒนาสำคัญในโลกของการเงินที่น่าสนใจ หากผู้ลงทุนสนใจในโลกของสินทรัพย์ดิจิทัลนอกเหนือจาก อัตราผลตอบแทนเฉลี่ย รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่ต้องพิจารณาแล้ว สิ่งที่ต้องพิจารณามากที่สุดอีกหนึ่งอย่างคือความเสี่ยง เพราะสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยงและความผันผวนสูง จึงควรทำความเข้าใจตลาดและข้อมูลของสินทรัพย์ที่สนใจลงทุนให้รอบคอบถี่ถ้วนเสมอ
นอกจากนั้นเพื่อความปลอดภัยในการเข้าสู่โลกสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านผู้ให้บริการ ควรเลือกใช้บริการกับผู้ให้บริการที่ได้รับใบอนุญาตและอยู่ภายใต้การกำกับดูแลจากสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้ให้บริการที่ได้รับอนุญาตได้ที่เว็บไซต์สำนักงาน ก.ล.ต. และได้มีการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ของ พ.ร.ก. สินทรัพย์ดิจิทัล
คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
Disclaimer