บริหารการเงินอย่างไร เมื่อตกอยู่ในยุควิกฤตเศรษฐกิจ

กันยายน 18, 2024

thumbnail

เมื่อพูดถึงวิกฤตการเงินที่ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกสั่นคลอน คงต้องนึกถึงเหตุการณ์สำคัญที่เคยเกิดขึ้น เช่น The Great Depression ในปี 1929 วิกฤตหนี้สินนานาชาติ (The International Debt Crisis) วิกฤตต้มยำกุ้ง วิกฤตการเงินปี 2008 (Hamburger Crisis) และวิกฤตการเงินจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 เหตุการณ์เหล่านี้ไม่เพียงทำให้เศรษฐกิจตกต่ำ แต่ยังส่งผลกระทบต่อการบริหารการเงินของผู้คนทั่วไป ในบทความนี้ เราจะเสนอวิธีการบริหารการเงินในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ เพื่อช่วยให้คุณสามารถรักษาความมั่นคงทางการเงินและฟื้นฟูสภาพคล่องของคุณในยามที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับวิกฤต

 

5 วิกฤตเศรษฐกิจที่ทำการเงินสั่นคลอนไปทั่วโลก


5 วิกฤตเศรษฐกิจที่ทำการเงินสั่นคลอนไปทั่วโลก

วิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ (The Great Depression)

วิกฤตเศรษฐกิจใหญ่หรือ The Great Depression ในปี 1929 เป็นหนึ่งในวิกฤตการเงินที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก เริ่มต้นจากการล่มสลายของตลาดหุ้นสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 1929 ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อ "Black Tuesday" ตลาดหุ้นดิ่งลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มูลค่าของหุ้นหายไปหลายพันล้านดอลลาร์ ในช่วงเวลานั้นการลงทุนในตลาดหุ้นได้รับความนิยมมาก แต่เมื่อตลาดหุ้นล่มสลาย นักลงทุนต้องสูญเสียเงินจำนวนมาก ซึ่งนำไปสู่การลดการใช้จ่ายและการลงทุน ส่งผลกระทบต่อธุรกิจและการจ้างงานทั่วโลก

ในช่วงแรกของวิกฤต ตลาดหุ้นลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้นักลงทุนสูญเสียเงินลงทุนมากมาย สถานการณ์ย่ำแย่ยิ่งขึ้นเมื่อธุรกิจและโรงงานหลายแห่งต้องปิดตัวลง ทำให้พนักงานจำนวนมากต้องตกงาน การว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นทำให้ประชาชนไม่มีกำลังซื้อ ซึ่งเป็นสาเหตุให้เศรษฐกิจหมุนเวียนช้าลง ธนาคารหลายแห่งปิดตัวลงเนื่องจากไม่สามารถรับมือกับการถอนเงินจำนวนมากของลูกค้าได้ ส่งผลให้หลายครอบครัวสูญเสียเงินฝาก นอกจากนี้รัฐบาลหลายประเทศยังต้องเผชิญกับภาวะการขาดดุลทางการเงิน เนื่องจากรายได้ภาษีลดลงอย่างมาก ขณะที่ต้องใช้เงินในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบความยากลำบาก 

วิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ในปี 1929 เป็นบทเรียนที่สำคัญในประวัติศาสตร์เศรษฐกิจโลก มันแสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบการเงินและเศรษฐกิจ และความจำเป็นในการมีนโยบายที่เข้มแข็งและมีความยืดหยุ่นในการรับมือกับวิกฤตการเงิน การฟื้นตัวจากวิกฤตการเงินครั้งนี้ทำให้เกิดการปฏิรูปทางการเงินและเศรษฐกิจหลายประการ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีกในอนาคต วิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ในปี 1929 ยังคงเป็นหัวข้อที่ศึกษาและวิเคราะห์เพื่อให้เข้าใจถึงสาเหตุและผลกระทบของวิกฤตเศรษฐกิจ และเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับมือกับวิกฤตที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

วิกฤตหนี้สินนานาชาติ (The International Debt Crisis)

วิกฤตหนี้สินนานาชาติในช่วงปี 1980 เกิดจากการที่ประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศ เช่น เม็กซิโก บราซิล และอาร์เจนตินา ได้กู้ยืมเงินจากธนาคารนานาชาติในช่วงปี 1970 เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเศรษฐกิจของประเทศ แต่เมื่อราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ลดลง ทำให้ประเทศเหล่านี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด ส่งผลให้เกิดวิกฤตหนี้สินทั่วโลก

วิกฤตการเงินครั้งนี้เริ่มต้นจากการที่ประเทศกำลังพัฒนาได้รับแรงจูงใจในการกู้เงินจากธนาคารนานาชาติในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงช่วงทศวรรษ 1980 ราคาน้ำมันที่เป็นแหล่งรายได้หลักลดลงอย่างรวดเร็ว รวมถึงราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ที่ส่งออกลดลง ทำให้ประเทศเหล่านี้ไม่สามารถชำระหนี้ตามกำหนดได้ วิกฤตหนี้สินนี้ทำให้ธนาคารหลายแห่งต้องเผชิญกับการขาดทุน และบางแห่งถึงขั้นล้มละลาย การลงทุนจากต่างประเทศในประเทศกำลังพัฒนาหยุดชะงัก ทำให้การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง ประเทศที่ประสบปัญหาหนี้สินต้องลดค่าเงินเพื่อเพิ่มรายได้จากการส่งออก และเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น เพื่อแก้ไขปัญหานี้ ต้องมีการเจรจาปรับโครงสร้างหนี้กับ IMF และธนาคารโลก การช่วยเหลือทางการเงินและการปรับโครงสร้างหนี้เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้ให้กลับมามีเสถียรภาพอีกครั้ง

 

วิกฤตต้มยำกุ้ง (Tom Yum Kung)

วิกฤตเศรษฐกิจในเอเชียในปี 1997-1998 หรือที่เรียกว่า "วิกฤตต้มยำกุ้ง" เริ่มต้นขึ้นในประเทศไทยเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 1997 เมื่อรัฐบาลประกาศลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้ค่าเงินบาทลดลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นวิกฤตขยายตัวไปยังประเทศอื่น ๆ ในเอเชีย 

วิกฤตต้มยำกุ้งเกิดจากการที่ประเทศไทยประสบปัญหาหนี้สินต่างประเทศที่สูงขึ้น เนื่องจากการกู้ยืมเงินมาลงทุนในโครงการที่ไม่มีผลตอบแทนเพียงพอ เมื่อค่าเงินบาทลอยตัว ทำให้มูลค่าของเงินบาทลดลงอย่างรวดเร็ว หนี้สินที่มีมูลค่าเป็นสกุลเงินต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่งประสบปัญหาทางการเงินจนต้องล้มละลาย นักลงทุนต่างชาติถอนการลงทุนออกจากประเทศไทยอย่างรวดเร็ว ทำให้ตลาดหุ้นและตลาดการเงินล่มสลาย วิกฤตนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในประเทศไทย แต่ขยายไปยังประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเกาหลีใต้ ทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางการเงินในเอเชีย การว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บริษัทหลายแห่งต้องปิดตัวลง และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก การฟื้นฟูเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียต้องอาศัยการช่วยเหลือจาก IMF และธนาคารโลก โดย IMF ได้จัดตั้งโครงการช่วยเหลือทางการเงินเพื่อฟื้นฟูเสถียรภาพทางการเงินในประเทศที่ประสบปัญหา การช่วยเหลือเหล่านี้รวมถึงการให้เงินกู้เพื่อเสริมสภาพคล่อง การปรับโครงสร้างหนี้ และการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เข้มงวดเพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุน

วิกฤตต้มยำกุ้งเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชียเกี่ยวกับการบริหารจัดการหนี้สินและความเสี่ยงทางการเงิน การขาดการควบคุมที่เข้มงวดและการพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศมากเกินไปทำให้เศรษฐกิจเปราะบางและเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤต ในทางกลับกัน วิกฤตการเงินนี้ยังทำให้ประเทศในภูมิภาคเอเชียเรียนรู้และปรับปรุงระบบการเงินและเศรษฐกิจของตนให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

 

Hamburger (The Great Recession)

วิกฤตการเงินปี 2008 หรือที่รู้จักกันในชื่อ "Hamburger Crisis" เกิดขึ้นจากการที่ธนาคารในสหรัฐฯ ได้ปล่อยสินเชื่อที่มีความเสี่ยงสูง (Subprime Mortgage) ให้กับผู้กู้ที่มีเครดิตต่ำ เมื่อราคาบ้านลดลงและผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ทำให้ธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่งประสบปัญหาทางการเงิน

การเริ่มต้นของวิกฤตการเงินครั้งนี้เกิดจากการที่ธนาคารหลายแห่งในสหรัฐฯ ได้ปล่อยสินเชื่อบ้านให้กับผู้กู้ที่มีเครดิตต่ำ (Subprime Mortgage) โดยคิดอัตราดอกเบี้ยสูง แม้ว่าผู้กู้จะมีความสามารถในการชำระหนี้ไม่เพียงพอ แต่ธนาคารยังคงให้สินเชื่อเพื่อหวังผลกำไรจากดอกเบี้ยที่สูงขึ้น เมื่อถึงจุดหนึ่ง ราคาบ้านเริ่มลดลง ทำให้ผู้กู้ไม่สามารถขายบ้านเพื่อชำระหนี้ได้ และต้องผิดนัดชำระหนี้ วิกฤตเริ่มลุกลามเมื่อธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่งที่มีการลงทุนในสินเชื่อเหล่านี้ต้องประสบกับการขาดทุน ตลาดหุ้นทั่วโลกล่มสลาย นักลงทุนสูญเสียเงินจำนวนมาก ธนาคารและสถาบันการเงินหลายแห่งล้มละลายหรือถูกซื้อกิจการ การว่างงานพุ่งสูงขึ้นเนื่องจากบริษัทหลายแห่งต้องลดการจ้างงาน การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลกลดลง ทำให้ประเทศต่าง ๆ ต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟู ผลกระทบของวิกฤตครั้งนี้ยาวนานและส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกหลายปี วิกฤตครั้งนี้ทำให้หลายประเทศต้องทบทวนและปรับปรุงกฎระเบียบทางการเงินและการธนาคาร เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ซ้ำอีก

 

Covid 19 Epidemic

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลกอย่างรุนแรง เนื่องจากการล็อกดาวน์และมาตรการควบคุมการแพร่ระบาด ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก เศรษฐกิจตกต่ำ การท่องเที่ยว การผลิต และการค้าได้รับผลกระทบอย่างมาก

การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้รัฐบาลหลายประเทศต้องใช้มาตรการล็อกดาวน์และการควบคุมการแพร่ระบาดอย่างเข้มงวด ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจหยุดชะงัก ธุรกิจหลายแห่งต้องปิดตัวลงหรือลดการผลิต การท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญของหลายประเทศต้องหยุดชะงัก ทำให้รายได้ลดลงอย่างมาก การว่างงานเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเนื่องจากธุรกิจหลายแห่งต้องปิดตัวลง ตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนและลดลงอย่างรวดเร็วในช่วงแรกของการแพร่ระบาด เศรษฐกิจหลายประเทศเข้าสู่ภาวะถดถอย และต้องใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อฟื้นฟู การใช้ชีวิตและการทำงานของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการทำงานจากที่บ้านและมาตรการควบคุมทางสังคม วิกฤตโควิด-19 แสดงให้เห็นถึงความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจและการต้องปรับตัวอย่างรวดเร็วของธุรกิจและประชาชนทั่วโลก การฟื้นตัวจากวิกฤตครั้งนี้ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการกับปัญหาด้านสุขภาพและเศรษฐกิจ การวิจัยและพัฒนาวัคซีนและการแจกจ่ายอย่างทั่วถึงเป็นสิ่งสำคัญในการควบคุมการแพร่ระบาดและฟื้นฟูเศรษฐกิจให้กลับมาเสถียรภาพอีกครั้ง

 

ทั้ง 5 วิกฤตเศรษฐกิจที่กล่าวมานี้มีลักษณะเฉพาะตัวและผลกระทบที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่เหมือนกันคือการสร้างความเสียหายทางการเงินและเศรษฐกิจตกต่ำในวงกว้าง การเรียนรู้จากประวัติศาสตร์และการปรับตัวตามสถานการณ์เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 


บริหารการเงินอย่างไรในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ

บริหารการเงินอย่างไรในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ

ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ การบริหารการเงินอย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถผ่านช่วงเวลาที่ท้าทายนี้ไปได้ การวางแผนการเงินอย่างรอบคอบและการใช้เงินอย่างมีเหตุผลเป็นวิธีที่ดีในการรักษาความมั่นคงทางการเงินของเรา ดังนี้เป็นขั้นตอนและเคล็ดลับที่จะช่วยให้เราบริหารการเงินได้อย่างมีประสิทธิภาพในยุคเศรษฐกิจตกต่ำและวิกฤตเศรษฐกิจ

1. ประเมินสถานะการเงินของตนเอง

การรู้ว่าตนเองอยู่ในสถานะทางการเงินใดเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการวางแผนการเงิน ทำการตรวจสอบรายได้และรายจ่ายอย่างละเอียด รวมถึงการวิเคราะห์สินทรัพย์และหนี้สิน เพื่อให้เราเข้าใจภาพรวมการเงินของเราและสามารถวางแผนในระหว่างวิกฤตการเงินได้อย่างถูกต้อง รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับรายได้ทั้งหมดที่ได้รับ เช่น เงินเดือน รายได้เสริม หรือผลตอบแทนจากการลงทุน ตรวจสอบค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนอย่างละเอียด แยกเป็นกลุ่ม ๆ เช่น ค่าใช้จ่ายที่จำเป็น (อาหาร ค่าเช่า) และค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น (ความบันเทิง) ทำการวิเคราะห์สินทรัพย์ที่มีอยู่ เช่น เงินฝากธนาคาร หุ้น หรือทรัพย์สินอื่น ๆ และวิเคราะห์หนี้สินทั้งหมด เช่น หนี้บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล หรือหนี้สินบ้าน

2. สร้างงบประมาณและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

การสร้างงบประมาณเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการบริหารการเงิน เริ่มต้นด้วยการระบุรายได้ที่มีอยู่และกำหนดรายจ่ายที่จำเป็น จากนั้นกำหนดส่วนที่เหลือเพื่อการออมและการลงทุน การปฏิบัติตามงบประมาณอย่างเคร่งครัดจะช่วยให้เราไม่ใช้จ่ายเกินตัวและมีเงินสำรองในยามฉุกเฉิน ควรใช้โปรแกรมหรือแอปพลิเคชันการเงินในการจัดทำงบประมาณ เช่น Excel หรือแอปพลิเคชันสำหรับการจัดการเงิน กำหนดเป้าหมายการออมเงินในแต่ละเดือน และตรวจสอบให้แน่ใจว่ามีการเก็บเงินตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ และตรวจสอบและปรับปรุงงบประมาณเป็นประจำ เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเงินวิกฤตและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง

3. ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

ในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ การลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นเป็นสิ่งที่ควรทำอย่างยิ่ง วิเคราะห์การใช้จ่ายในแต่ละเดือนและหาทางลดหรือเลิกการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ค่าใช้จ่ายสำหรับบันเทิงหรือสิ่งของฟุ่มเฟือยที่ไม่ได้ใช้งาน วิเคราะห์รายการใช้จ่ายในแต่ละเดือนและจัดกลุ่มค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น พิจารณาเลิกซื้อของฟุ่มเฟือยหรือสิ่งของที่ไม่ใช้ประโยชน์ เช่น เครื่องแต่งกายที่ไม่จำเป็น หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ใช้งานบ่อย และเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้จ่าย เช่น การรับประทานอาหารนอกบ้านให้น้อยลง หรือการหากิจกรรมบันเทิงที่ไม่ต้องเสียเงินมาก

4. สร้างเงินสำรองยามฉุกเฉิน

การมีเงินสำรองยามฉุกเฉินเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การสูญเสียงานหรือค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ที่ฉุกเฉิน ควรตั้งเป้าหมายในการสะสมเงินสำรองให้เพียงพอสำหรับการใช้จ่ายในช่วง 3-6 เดือน กำหนดเป้าหมายจำนวนเงินสำรองที่ต้องการและกำหนดเวลาสำหรับการสะสมเงินสำรอง ทำการออมเงินสำรองในบัญชีที่เข้าถึงง่ายและมีดอกเบี้ยต่ำ เช่น บัญชีออมทรัพย์หรือบัญชีเงินฝากประจำ และหลีกเลี่ยงการใช้เงินสำรองยามฉุกเฉินเว้นแต่จะมีสถานการณ์ที่จำเป็นจริง ๆ

5. จัดการหนี้สินอย่างมีประสิทธิภาพ

การจัดการหนี้สินเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารการเงิน ควรจ่ายหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงก่อนและหาทางรีไฟแนนซ์หนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงเพื่อให้สามารถลดภาระดอกเบี้ยลงได้ นอกจากนี้ควรหลีกเลี่ยงการก่อหนี้ใหม่ที่ไม่จำเป็นในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ จัดทำแผนการชำระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูงก่อน เช่น หนี้บัตรเครดิต เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเงินไปกับดอกเบี้ย พิจารณาการรีไฟแนนซ์หนี้สินบ้านหรือสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีดอกเบี้ยสูง โดยเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารต่างๆ และหลีกเลี่ยงการก่อหนี้ใหม่ที่ไม่จำเป็น เช่น การกู้เงินซื้อสินค้าที่ไม่จำเป็นในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ

6. ลงทุนอย่างรอบคอบ

การลงทุนในยุคเศรษฐกิจตกต่ำควรทำอย่างรอบคอบและมีการวิเคราะห์ความเสี่ยงอย่างละเอียด ควรศึกษาและทำความเข้าใจกับตลาดและสินทรัพย์ที่ลงทุน เลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและมีความมั่นคง เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือกองทุนรวมที่มีการบริหารจัดการอย่างดี ศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนและความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ เลือกการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาลหรือกองทุนรวมที่มีประวัติการบริหารจัดการที่ดี และหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงหากไม่มีความรู้หรือประสบการณ์ที่เพียงพอ

7. เรียนรู้และปรับปรุงความรู้ทางการเงิน

การมีความรู้และความเข้าใจทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารการเงิน ควรศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางแผนการเงิน การลงทุน และการบริหารหนี้สิน การเรียนรู้และปรับปรุงความรู้ทางการเงินจะช่วยให้เราสามารถตัดสินใจทางการเงินได้อย่างมีเหตุผลและมั่นคง อ่านหนังสือหรือบทความเกี่ยวกับการวางแผนการเงิน การลงทุน และการบริหารหนี้สิน เข้าร่วมสัมมนาหรือการอบรมที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการลงทุน และใช้แหล่งข้อมูลออนไลน์ เช่น Blog หรือเว็บไซต์ที่มีความน่าเชื่อถือในการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม

8. ใช้ประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรและคำแนะนำ

มีหลายองค์กรและแหล่งทรัพยากรที่สามารถให้คำแนะนำและความช่วยเหลือในการบริหารการเงิน เช่น ธนาคาร สถาบันการเงิน หรือที่ปรึกษาทางการเงิน ควรใช้ประโยชน์จากแหล่งทรัพยากรเหล่านี้เพื่อช่วยในการวางแผนการเงินและการตัดสินใจที่มีเหตุผล เข้ารับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงินหรือที่ปรึกษาทางการเงิน เพื่อรับคำแนะนำในการวางแผนการเงินและการลงทุน ใช้บริการคำปรึกษาทางการเงินที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินมีให้ เพื่อขอคำแนะนำเกี่ยวกับการจัดการหนี้สินและการลงทุน และใช้แหล่งข้อมูลออนไลน์ที่มีความน่าเชื่อถือในการศึกษาข้อมูลและรับคำแนะนำในการบริหารการเงิน

การบริหารการเงินในยุคเศรษฐกิจตกต่ำหรือในระหว่างวิกฤตการเงินเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่หากเรามีการวางแผนและการบริหารจัดการอย่างรอบคอบ ก็จะช่วยให้เราสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

 

หมายเหตุ

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Merkle Capital คือผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานก.ล.ต. บริษัทให้การดูแลและบริหารเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและการบริหารจัดการ