วางแผนมรดก : เรื่องสำคัญของครอบครัว

กันยายน 04, 2024

thumbnail

การวางแผนมรดกเป็นกระบวนการที่สำคัญในการจัดการทรัพย์สินต่าง ๆ ที่ช่วยให้ครอบครัวสามารถสร้างแผนการเงินที่ดีและมั่นคงได้ เพื่อให้มั่นใจว่าทรัพย์สินที่สะสมไว้จะถูกส่งมอบตามที่ต้องการและสมควร นอกจากนี้ประเด็นสำคัญคือการวางแผนมรดกยังช่วยลดภาระภาษีที่เกิดขึ้นกับมรดกในอนาคต

 

การวางแผนมรดกคืออะไร ?

การวางแผนมรดกเป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุดในการจัดการทรัพย์สินและสิทธิมรดกของบุคคลหรือครอบครัว เป้าหมายหลักของการวางแผนมรดกคือการแบ่งปันทรัพย์สินและทรัพย์สินที่มีค่าต่าง ๆ ให้แก่ผู้รับมรดกในอนาคต โดยสอดคล้องกับความต้องการและวัตถุประสงค์ของบุคคลหรือครอบครัว

 

การวางแผนมรดกคืออะไร

 

การวางแผนมรดกเป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุดในการจัดการทรัพย์สินและสิทธิมรดกของบุคคลหรือครอบครัว เป้าหมายหลักของการวางแผนมรดกคือการแบ่งปันทรัพย์สินและทรัพย์สินที่มีค่าต่าง ๆ ให้แก่ผู้รับมรดกในอนาคต โดยสอดคล้องกับความต้องการและวัตถุประสงค์ของบุคคลหรือครอบครัว

 

วัตถุประสงค์หลักของการวางแผนมรดก 

  • การป้องกันและรักษาสิทธิมรดก : การวางแผนมรดกช่วยในการรักษาสิทธิมรดกของบุคคลหรือครอบครัวในการควบคุมทรัพย์สินที่สะสมไว้ในชีวิต
  • การลดภาระภาษี : การวางแผนมรดกช่วยลดภาระภาษีที่จะเกิดขึ้นในกระบวนการส่งมอบทรัพย์สิน โดยการใช้กฎหมายและวิธีการทางการเงินเพื่อลดภาษีการส่งมอบ
  • การจัดการทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพ : การวางแผนมรดกช่วยในการจัดการทรัพย์สินอย่างมีประสิทธิภาพโดยการกำหนดว่าทรัพย์สินจะถูกแบ่งปันและส่งมอบอย่างไรให้เหมาะสมกับทรัพย์สินและความต้องการของผู้รับมรดก
  • การสร้างความมั่นคงและความมั่นใจในการเงิน : การวางแผนมรดกช่วยสร้างความมั่นคงและความมั่นใจด้านการเงินในอนาคตของบุคคลหรือครอบครัว โดยการรับรู้และเข้าใจสถานะการเงิน รวมถึงความต้องการของผู้ที่รับมรดก

 

ขั้นตอนในการวางแผนมรดก 

  • การรวบรวมข้อมูลและการประเมินทรัพย์สิน : เริ่มต้นโดยการรวบรวมข้อมูลทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ เช่น บ้าน ที่ดิน การลงทุน และสินทรัพย์อื่น ๆ
  • การวางแผนการส่งมอบ : การตัดสินใจว่าสิทธิมรดกจะถูกส่งมอบอย่างไร เป็นแบบจำกัดความรับผิดชอบหรือไม่ และวิธีการการแบ่งปันและการจัดการทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างไร
  • การลดภาระภาษี : การวางแผนมรดกยังมีการลดภาระภาษีอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การใช้ค่าบริการทางการเงินเพื่อลดภาษีการส่งมอบ
  • การติดตามและปรับปรุง : การวางแผนมรดกไม่ใช่เพียงกระบวนการที่ทำครั้งเดียวแล้วจบ ควรติดตามและปรับปรุงเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในสถานะการเงินหรือกฎหมาย

 

การวางแผนมรดกเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างความมั่นคงและความมั่นใจด้านการเงินในอนาคตของครอบครัว โดยการเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้และการทำความเข้าใจในกระบวนการนี้ คุณสามารถจัดการทรัพย์สินและสิทธิมรดกได้อย่างมีประสิทธิภาพได้

 

การวางแผนมรดกสำคัญอย่างไร ?

การวางแผนมรดกเป็นกระบวนการที่สำคัญและจำเป็นสำหรับทุกครอบครัวที่ต้องการความมั่นใจว่าทรัพย์สินที่สะสมไว้จะถูกแบ่งปันและส่งมอบอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับการแบ่งทรัพย์สินและการสืบทอด ความสำคัญของการวางแผนมรดกมีหลายด้าน 

  • การป้องกันสิทธิมรดก : การวางแผนมรดกช่วยให้สามารถควบคุมและรักษาสิทธิมรดกในทรัพย์สินได้ตามที่ต้องการ โดยลดความขัดแย้งและความสับสนในอนาคต
  • การลดภาระภาษี : การวางแผนมรดกช่วยลดภาระภาษีที่เกิดขึ้นกับมรดกในอนาคต โดยการใช้กฎหมายและวิธีการทางการเงินเพื่อลดภาษีการส่งมอบ
  • การเพิ่มความมั่นคงและความมั่นใจในการเงิน : การวางแผนมรดกช่วยสร้างความมั่นคงและความมั่นใจด้านการเงินในอนาคตของครอบครัว โดยการรับรู้ ความเข้าใจสถานะการเงินและความต้องการของผู้รับมรดก

 

การวางแผนมรดกเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างความมั่นคงและความมั่นใจด้านการเงินในอนาคตของครอบครัวคุณ โดยเริ่มต้นจากการเรียนรู้และการทำความเข้าใจในกระบวนการนี้ คุณสามารถจัดการทรัพย์สินและสิทธิมรดกของคุณอย่างมีประสิทธิภาพได้

แต่ละครอบครัวมีลูกที่มีความสามารถทางการเงินที่แตกต่างกันออกไป เช่น ลูกคนโตที่ประสบความสำเร็จในการธุรกิจและมีรายได้สูง อาจจะไม่ต้องกังวลใจเกี่ยวกับเรื่องเงินและอาจต้องการเลือกที่อยู่ที่แยกตัวออกจากบ้านครอบครัวเพื่อมีการเงินแยกตัวเองได้

 

ในขณะเดียวกัน ลูกคนกลางที่มีธุรกิจการค้าขายอาจสามารถเลี้ยงตัวเองได้ ในขณะที่ลูกคนเล็กที่มีรายได้จากการทำงานเป็นพนักงานเงินเดือนอาจจะเป็นคนที่ต้องการการดูแลในบ้านและมีรายได้ไม่มากนัก

ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ที่พ่อแม่เสียชีวิตไปก่อน หากไม่มีการวางแผนทรัพย์สินไว้ล่วงหน้า บางครอบครัวอาจจะเผชิญกับความจำเป็นที่จะต้องขายทรัพย์สินเพื่อแบ่งเงินให้กับลูกที่มีความสนใจในการแยกแยะและการเงินแยกตัว

การวางแผนมรดกเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการป้องกันความขัดแย้งระหว่างญาติและในการแบ่งปันทรัพย์สินตามความต้องการของเจ้าของมรดก ซึ่งมีความสำคัญยิ่งต่อการสร้างความเข้าใจและความไว้วางใจระหว่างญาติในอนาคต

 

จะเป็นอย่างไรหากไม่วางแผนมรดก การวางแผนมรดกเป็นกระบวนการที่สำคัญที่ช่วยให้ทรัพย์สินและมรดกถูกจัดสรรอย่างเป็นระบบ หากไม่วางแผนมรดก ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นมีหลายด้าน

  • ความขัดแย้งในครอบครัว การไม่วางแผนมรดกอาจนำไปสู่ความขัดแย้งและการแย่งชิงทรัพย์สินระหว่างสมาชิกในครอบครัว เนื่องจากไม่มีการกำหนดชัดเจนว่าใครควรได้รับอะไร
  • การจัดการทรัพย์สินที่ไม่มีประสิทธิภาพ หากไม่มีการวางแผนมรดก ทรัพย์สินอาจถูกจัดการอย่างไม่เป็นระบบ ทำให้สูญเสียมูลค่าหรือใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ การวางแผนมรดกช่วยให้ทรัพย์สินถูกจัดการอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อผู้รับมรดก
  • ภาระภาษีที่สูงขึ้น การไม่วางแผนมรดกอาจทำให้ผู้รับมรดกต้องเสียภาษีในจำนวนที่มากกว่าที่ควรจะเป็น การวางแผนมรดกช่วยให้สามารถจัดการภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระภาษีและค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้อง

       

นอกจากนี้ กฎหมายภาษีเกี่ยวกับมรดกและการรับมรดกที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2559 ได้ส่งผลให้การวางแผนมรดกเป็นเรื่องที่สำคัญมากขึ้น เพื่อการวางแผนภาษีที่มีประสิทธิภาพในเวลาเดียวกัน

ภาษีการรับมรดกจากพ่อแม่ที่มูลค่ามากกว่า 100 ล้านบาท มีอัตราภาษีที่ 5% ของมูลค่าทรัพย์สิน ในขณะที่การรับมรดกจากบุคคลอื่นที่มูลค่าเกิน 100 ล้านบาท จะมีอัตราภาษีที่ 10% ของมูลค่าทรัพย์สิน

สำหรับทรัพย์สินที่ต้องเสียภาษีมรดกนั้น สามารถแบ่งได้ 5 ประเภท

  • อสังหาริมทรัพย์
  • หลักทรัพย์ตามกฎหมายว่าด้วยหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เช่น หุ้น หน่วยลงทุนกองทุนรวม
  • เงินฝากหรือเงินอื่น ๆ ที่มีลักษณะเดียวกัน
  • ยานพาหนะที่มีหลักฐานทางทะเบียน เช่น รถยนต์หรือรถจักรยานยนต์
  • ทรัพย์สินทางการเงินที่กำหนดเพิ่มขึ้นโดยพระราชกฤษฎีกา เช่น ตั๋วเงินคลัง พันธบัตร ตั๋วเงิน หุ้นกู้

เมื่อมีความจำเป็นที่ต้องวางแผนมรดก เราจะต้องทำความรู้จักกับผู้ที่มีสิทธิรับมรดก โดยเฉพาะในกรณีที่มีคู่สมรสจดทะเบียน สินสมรสจะถูกแบ่งเป็นสองส่วนเท่า ๆ กัน โดยส่วนหนึ่งจะไปยังคู่สมรส และส่วนที่เหลือจะนำมารวมกับสินส่วนส่วนตัวเพื่อเป็นกองมรดก

 

ในกรณีที่ไม่มีการวางแผนมรดกไว้ล่วงหน้า กฎหมายมรดกจะใช้กำหนดการแบ่งมรดกโดยหลัก ซึ่งจะมีลำดับการสืบสันดานตามกฎหมายดังนี้ 

  • ผู้สืบสันดาน (ลูก หลาน เหลน ลื่อ) : คือบุคคลที่อยู่ในลำดับสุดแรกที่มีสิทธิรับมรดก หากไม่มีผู้สืบสันดานในลำดับนี้จะไปสู่ลำดับถัดไป
  • บิดา มารดา : หากคู่สมรสยังมีชีวิตอยู่ พวกเขาจะมีสิทธิรับสินสมรสที่ไม่ถูกแบ่งให้คู่สมรสก่อนหน้า
  • พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน : พวกเขาจะมีสิทธิรับมรดกในกรณีที่ไม่มีผู้สืบสันดานหรือบิดามารดาที่มีชีวิต
  • พี่น้องร่วมบิดาหรือร่วมมารดาเดียวกัน : หากไม่มีผู้สืบสันดานหรือบิดามารดาที่มีชีวิต และไม่มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน ก็จะไปสู่ลำดับต่อไป
  • ปู่ ย่า ตา ยาย : คือลำดับของญาติใกล้ชิดที่ได้รับมรดกก่อนจากญาติที่ห่างออกไป
  • ลุง ป้า น้า อา : จะเป็นลำดับสุดท้ายที่ถูกกำหนดให้รับมรดก หากไม่มีญาติในลำดับอื่นมารับมรดกก่อน

การวางแผนมรดกมีความสำคัญอย่างมากเนื่องจากสามารถป้องกันความขัดแย้งในครอบครัวได้ และช่วยให้ทรัพย์สินถูกแบ่งแยกตามความต้องการของเจ้าของมรดกได้อย่างเหมาะสม

 

เริ่มต้นวางแผนมรดกอย่างไร

หากไม่มีการวางแผนมรดกอย่างชัดเจนเมื่อเกิดเหตุการณ์เสียชีวิต อาจทำให้เกิดผลกระทบที่ไม่คาดคิดต่อทรัพย์สินและความสัมพันธ์ญาติพี่น้อง โดยมักจะเกิดความขัดแย้งในวงญาติในกรณีที่ไม่มีการระบุเจตนารมณ์ชัดเจน เช่น

 

เริ่มต้นวางแผนมรดกอย่างไร

 

  • การแบ่งปันไม่เป็นธรรม : การไม่มีการวางแผนมรดกอาจทำให้เกิดความไม่พอใจและขัดแย้งในวงญาติ เพราะไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับการแบ่งสินทรัพย์ เช่น ใครจะได้รับส่วนไหนและเป็นอย่างไร
  • ค่าใช้จ่ายสูง : หากไม่มีการวางแผนมรดก การดำเนินการต่อทรัพย์สินหลาย ๆ ชิ้นในฐานะของทายาทอาจทำให้เกิดค่าใช้จ่ายสูง เช่น ค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่ายในกระบวนการพินัยกรรม การชำระภาษีมรดก เป็นต้น
  • ความไม่แน่นอน : สิ่งที่สำคัญของแผนมรดก คือการทำให้ทุกคนเข้าใจและตกลงกับขั้นตอนที่กำหนดไว้ หากไม่มีแผนมรดก อาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนและข้อพิพาทในวงญาติเมื่อต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการแบ่งปันทรัพย์สิน

การเริ่มต้นวางแผนมรดกเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่จะช่วยให้สามารถจัดการทรัพย์สินได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยสามารถแบ่งออกเป็นขั้นตอนหลักได้ดังนี้ 

 

ขั้นตอนการวางแผนมรดก

 

  • รวบรวมข้อมูลทรัพย์สินและหนี้สิน : เริ่มต้นด้วยการรวบรวมข้อมูลทรัพย์สินทั้งหมดที่คุณมี เช่น บ้าน ที่ดิน รถ การลงทุน เงินฝากธนาคาร และทรัพย์สินอื่น ๆ รวมถึงหนี้สินที่มีอยู่
  • ระบุวัตถุประสงค์และความต้องการ : กำหนดวัตถุประสงค์ของการวางแผนมรดกอย่างชัดเจน เช่น การให้สินทรัพย์ให้แก่คนในครอบครัว การสนับสนุนการศึกษา การบริจาคเพื่อสาธารณะประโยชน์ หรือวัตถุประสงค์ที่มีความสำคัญกับคุณ
  • ประเมินภาระภาษี : ทรัพย์สินที่จะถูกสืบทอดอาจมีผลกระทบต่อภาษีมรดกและภาษีรายได้ การประเมินภาระภาษีที่จะเกิดขึ้นเป็นสิ่งสำคัญในการวางแผน
  • เลือกผู้ที่จะเป็นผู้รับมรดก : กำหนดใครคือผู้รับมรดกและวิธีการแบ่งแยกสินทรัพย์ให้กับแต่ละคนในครอบครัว การพิจารณาถึงความเป็นญาติ ความสามารถในการบริหารจัดการทรัพย์สิน และความต้องการของผู้รับมรดกเป็นสิ่งสำคัญ
  • รับคำปรึกษาจากนักกฎหมายและที่ปรึกษาการเงิน : การวางแผนมรดกเป็นเรื่องซับซ้อน ควรพูดคุยกับนักกฎหมายที่เชี่ยวชาญในการมรดกและที่ปรึกษาการเงินเพื่อให้คำปรึกษาเพิ่มเติมและแนะนำ
  • เตรียมเอกสารที่จำเป็น : เตรียมเอกสารที่จำเป็นเพื่อการวางแผนมรดก เช่น พร้อมใบภาษี บันทึกการรับรองทรัพย์สิน และเอกสารที่เกี่ยวข้อง

 

แต่เรื่องการวางแผนการเงินส่วนบุคคลเป็นเรื่องของส่วนบุคคลทำให้หลายครั้งต้องมีการสำรวจและทดลองด้วยตัวเอง ดังนั้น ถ้าคุณยังไม่แน่ใจหรือไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร ลองเริ่มจากการรวบรวมทรัพย์สินและหนี้สินที่มีจากแหล่งต่าง ๆ มารวมไว้ในที่เดียว โดยใช้ "งบดุลส่วนบุคคล" และจดบันทึกไว้เพื่อระบุว่าคุณมีทรัพย์สินและหนี้สินประเภทใดบ้าง เป็นจำนวนเท่าไหร่ ตั้งแต่ที่อยู่อาศัยไปจนถึงสินทรัพย์ลงทุน

 

สิ่งสำคัญที่ไม่ควรลืม คือหนี้สิน เพราะหนี้สินก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะถูกส่งมรดกต่อไปได้ เช่นเดียวกับทรัพย์สิน ดังนั้น ควรระบุไว้ว่า มีหนี้สินประเภทใด อยู่ที่ไหน มูลค่าเท่าไหร่ เพื่อให้สามารถนำเงินในกองมรดกมาชำระหนี้สินให้เรียบร้อยก่อนที่จะทำการแบ่งปันในอนาคต หากสามารถระบุชื่อรายการอย่างละเอียดได้ จะช่วยให้การติดตามเป็นไปได้ง่ายขึ้นอีกด้วย เช่น เงินฝากออมทรัพย์ที่ธนาคาร A เงินฝากออมทรัพย์ที่ธนาคาร B เงินลงทุนในกองทุน D E และ F เป็นต้น

 

วิธีทำพินัยกรรมถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายที่สำคัญที่ต้องศึกษา เพื่อให้แน่ใจว่าทรัพย์สินจะถูกส่งต่อหรือถ่ายโอนไปยังบุคคลที่เราต้องการอย่างแน่นอนและครบถ้วน ตามกฎหมายเราสามารถระบุให้ใครหรือองค์กรใดก็ได้เป็นผู้รับมรดกได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นญาติสนิทเสมอไป แต่จำเป็นต้องทำพินัยกรรมโดยระบุข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอย่างครบถ้วน เพื่อให้การจัดสรรทรัพย์สินของเราเป็นไปอย่างเพียงพอได้

 

ข้อมูลหลักที่ต้องระบุในพินัยกรรมประกอบด้วย... ข้อมูลส่วนตัว (ชื่อ นามสกุล อายุ ฯลฯ) รายการทรัพย์สินต่าง ๆ (ที่ดิน บ้าน ใบหุ้น เงินฝาก ฯลฯ) กรมธรรม์ประกัน (ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ฯลฯ) รายชื่อผู้รับมรดก ผู้จัดการมรดก จำนวนทรัพย์สินที่ต้องการจัดสรรให้แต่ละคน ลายมือชื่อ และวันที่ทำพินัยกรรม

 

เมื่อทำพินัยกรรมแล้ว เราควรปรับปรุงแก้ไขข้อมูลในพินัยกรรมให้ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา อย่างน้อยทุก 3-5 ปี เพื่อให้แน่ใจว่าพินัยกรรมของเราจะถูกนำไปปฏิบัติตามเจตนารมย์ของเราในขณะที่เกิดเหตุการณ์ และเพื่อปรับปรุงตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น การเพิ่มทรัพย์สิน การมีลูกเพิ่มขึ้น หรือการเปลี่ยนแปลงสถานะภาพสมรส เป็นต้น

 

สิ่งสำคัญอีกอย่างที่ต้องจำไว้คือ เราควรบอกให้คู่สมรสหรือบุคคลใกล้ชิดที่ไว้ใจได้ทราบว่าพินัยกรรมฉบับล่าสุดของเราจัดทำขึ้นเมื่อใด และเก็บไว้ที่ไหน รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับรหัสตู้เซฟหรือกุญแจที่เก็บเอกสารสำคัญต่าง ๆ เช่น กรมธรรม์ประกันชีวิต สมุดเงินฝาก ใบหุ้น โฉนดที่ดิน ฯลฯ เพื่อให้พวกเขาสามารถนำพินัยกรรมและเอกสารต่าง ๆ ของเรามาดำเนินการต่อได้

 

ปัจจุบันประเทศไทยมีการจัดเก็บภาษีมรดกตาม พระราชบัญญัติภาษีการรับมรดก พ.ศ. 2558 โดยผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีการรับมรดก คือ ผู้รับมรดกที่ได้มรดกสุทธิหลังหักภาระติดพันต่าง ๆ แล้ว เช่น ภาระจำนอง จากเจ้ามรดกแต่ละรายในคราวเดียวหรือหลายคราว ให้เสียภาษีเฉพาะมูลค่ามรดกสุทธิส่วนที่เกิน 100 ล้านบาท ในอัตราภาษีร้อยละ 10

 

แต่ถ้าผู้ได้รับมรดกเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดานก็ให้เสียภาษีในอัตราภาษีร้อยละ 5 ไม่คำนึงถึงจำนวนครั้ง หรือจำนวนหน่วยของทรัพย์มรดกที่ได้รับ โดยทรัพย์มรดกที่ต้องเสียภาษีต้องเป็นสิ่งของที่มีทะเบียน ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์ หลักทรัพย์ เงินฝาก ยานพาหนะ และทรัพย์สินทางการเงินอื่น ๆ ที่กฎหมายกำหนด ดังนั้น หากจัดการวางแผนมอบมรดกได้ดี อาจช่วยให้เราไม่ต้องเสียภาษีมรดกมากเกินไป การวางแผนมรดกไม่ได้เฉพาะเจาะจงให้กับคนที่มีทรัพย์สินมากเท่านั้น แต่เป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนควรคิดและวางแผนล่วงหน้าเพื่อประโยชน์ของตนเองและครอบครัวในอนาคต

       

การวางแผนมรดกเป็นสิ่งสำคัญที่ควรพิจารณาในทุกช่วงอายุ การเริ่มต้นวางแผนมรดกตั้งแต่อายุน้อยและการวางแผนมรดกเมื่ออายุมากขึ้นมีความแตกต่างในหลายด้าน

การเริ่มต้นวางแผนมรดกตั้งแต่อายุน้อย

ข้อดี

  • เวลามากขึ้นในการปรับเปลี่ยนและปรับปรุงแผน : การเริ่มต้นวางแผนมรดกตั้งแต่อายุน้อยทำให้มีเวลามากพอในการปรับเปลี่ยนและปรับปรุงแผนตามสถานการณ์ชีวิตและการเปลี่ยนแปลงทางการเงิน
  • เพิ่มโอกาสในการสะสมทรัพย์สิน : เมื่อเริ่มวางแผนตั้งแต่อายุน้อย มีเวลาในการสะสมทรัพย์สินและการลงทุนเพื่อสร้างมูลค่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้รับมรดกในอนาคต
  • ลดภาระภาษี : การวางแผนภาษีมรดกตั้งแต่เนิ่น ๆ ช่วยให้สามารถใช้กลยุทธ์ทางภาษีเพื่อลดภาระภาษีในระยะยาวได้
  • ลดความกังวลในอนาคต : การมีแผนมรดกที่ชัดเจนช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินในอนาคต ทำให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจมากขึ้น

ข้อเสีย

  • การปรับเปลี่ยนแผนตามสถานการณ์ : การวางแผนตั้งแต่อายุน้อยอาจต้องมีการปรับเปลี่ยนบ่อยครั้งตามสถานการณ์ชีวิต เช่น การแต่งงาน การมีบุตร หรือการเปลี่ยนแปลงทางการเงิน
  • ค่าใช้จ่ายในการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ : การวางแผนมรดกอาจต้องใช้บริการจากผู้เชี่ยวชาญทางการเงินหรือกฎหมาย ซึ่งอาจเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม

 

การวางแผนมรดกเมื่ออายุมากขึ้น

ข้อดี

  • ความชัดเจนในสถานการณ์ชีวิต : การวางแผนเมื่ออายุมากขึ้นทำให้มีความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับสถานการณ์ชีวิต ครอบครัว และทรัพย์สิน ทำให้สามารถวางแผนได้อย่างแม่นยำ
  • การจัดการทรัพย์สินที่มีอยู่ : มีการสะสมทรัพย์สินมาแล้วบางส่วน ทำให้สามารถวางแผนการจัดการทรัพย์สินที่มีอยู่ได้อย่างเป็นระบบ
  • ประสบการณ์ในการตัดสินใจ : เมื่อมีอายุมากขึ้น มักมีประสบการณ์และความเข้าใจในการตัดสินใจทางการเงินมากขึ้น ทำให้สามารถวางแผนได้อย่างรอบคอบและมีประสิทธิภาพ

ข้อเสีย

  • เวลาที่จำกัด : เมื่ออายุมากขึ้น เวลาที่มีในการวางแผนและปรับปรุงแผนมรดกอาจจำกัด ทำให้ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้มากเท่าที่ควร
  • ความเสี่ยงด้านสุขภาพ : ความเสี่ยงด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้การวางแผนมรดกมีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น การพิจารณาค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ในอนาคต
  • ภาระภาษีที่สูงขึ้น : การวางแผนภาษีมรดกเมื่ออายุมากขึ้นอาจมีข้อจำกัดในการใช้กลยุทธ์ทางภาษีเพื่อลดภาระภาษี

 

สรุปแล้วการวางแผนมรดกเป็นหนึ่งในการส่งมอบความมั่งคั่ง (Wealth Distribution) เป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญไม่ต่างจากขั้นตอนอื่นในการบริหารจัดการทรัพย์สิน เนื่องจากมันช่วยให้สามารถจัดสรรทรัพย์สินที่เราสร้างและอนุรักษ์ไว้ตลอดชีวิตให้แก่คนที่เรารักได้ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว ญาติพี่น้อง หรือแม้กระทั่งการแบ่งปันให้กับผู้อื่นตามที่เราต้องการ ที่มีความสำคัญมากคือ "การวางแผนมรดก" ซึ่งเป็นหัวใจแห่งการส่งมอบความมั่งคั่ง ช่วยให้เรามั่นใจได้ว่าทรัพย์สินทั้งหมดจะถูกส่งต่อตามเจตนารมณ์ของเราอย่างมั่นคง

 

หมายเหตุ

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Merkle Capital คือผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานก.ล.ต. บริษัทให้การดูแลและบริหารเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและการบริหารจัดการ