Passive Income คืออะไร มาทำความรู้จัก และหนทางการลงทุนเพื่อรายได้แบบ Passive Income

กันยายน 30, 2024

thumbnail

Passive Income คืออะไรเป็นคำถามที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน โดยการลงทุน Passive Income เป็นกลยุทธ์ที่กำลังมาแรงในการสร้างอิสรภาพทางการเงิน และสร้างความมั่นคงในปัจจุบัน การสร้างรายได้แบบ Passive Income ถือเป็นการสร้างผลตอบแทนที่ได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านการลงทุนต่าง ๆ ที่สามารถให้ผลตอบแทนได้อย่างสม่ำเสมอ

 

Passive Income คืออะไร

Designed by Freepik

 

Passive Income คืออะไร ?

Passive Income คือรายได้ที่ได้รับจากการลงทุนในด้านต่าง ๆ เช่น อสังหาริมทรัพย์ หุ้น กองทุน สินทรัพย์ดิจิทัล โดย Passive Income แตกต่างกับ Active Income ตรงที่เราไม่ได้ต้องทำงานในทุกวัน หรือเป็นงานประจำ ที่ต้องความพยายาม เวลา และกำลัง โดย Passive Income จำเป็นต้องมีการลงทุนเริ่มต้น และการบริหารจัดการเป็นครั้งคราว โดยหลังจากนั้นการลงทุนจะสร้างรายได้เข้ามา โดย Passive Income ทำให้เกิดรายรับที่มั่นคง และการลงแรงแค่ในช่วงเริ่มต้น

 

ลักษณะของ Passive income

 

ลักษณะของ Passive income 

1. ใช้ความพยายามน้อยกว่า Active Income : โดยทั่วไปมักใช้ความพยายามเล็กน้อย หรือ ไม่ต้องใช้ความพยายามเลยในแต่ละวันเมื่อผ่านช่วงเริ่มต้นไปแล้ว 

2. สร้างกระแสเงินสดที่มั่นคง : ให้รายได้ที่สม่ำเสมอ และคาดการณ์ได้ เช่น ค่าเช่ารายเดือนจากอสังหาริมทรัพย์ เงินปันผลจากหุ้น หรือการดอกเบี้ยจากเงินฝากต่าง ๆ

3. สามารถเพิ่มการลงทุนได้ : สามารถขยายหรือเพิ่มการลงทุนได้โดยไม่ต้องเพิ่มความพยายามตาม เช่น การขายลิขสิทธิ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย เพลง คอร์สเรียนออนไลน์

4. สามารถกระจายความเสี่ยงได้ : การสร้าง Passive Income ที่หลากหลายแบบ ทำให้สามารถกระจายรายรับ และลดความเสี่ยงทางการเงินได้

 

เราสามารถสร้าง Passive Income ได้หลากหลายทาง โดยผู้ลงทุนสามารถตัดสินใจหา Passive Income ได้ตามที่ตนเองถนัด มีความรู้ความเขี่ยวชาญ หรือเงินทุนตั้งต้นในการลงทุนในแต่ละรูปแบบ โดยบทความนี้จะมาเจาะลึกถึงรูปแบบการลงทุนเพื่อสร้าง Passive Income ประเภทต่าง ๆ ดังนี้

 

การสร้างรายได้แบบ Passive Income โดยการลงทุนในพันธบัตร

พันธบัตร (Bond) เป็นตราสารหนี้ชนิดหนึ่งที่ออกโดยรัฐบาล เอกชน หรือรัฐวิสาหกิจ เพื่อระดมทุนจากผู้ลงทุน ผู้ที่ซื้อพันธบัตรจะมีสถานะเป็น “เจ้าหนี้” และผู้ที่ออกพันธบัตรจะมีสถานะเป็น “ลูกหนี้” โดยผู้ถือพันธบัตรจะได้รับดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ ตามที่กำหนดไว้ในพันธบัตร และจะได้รับเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดอายุ

 

การสร้างรายได้แบบ Passive Income

ประเภทของพันธบัตร

1. พันธบัตรรัฐบาล (Government Bond) : ออกโดยรัฐบาล ออกมาเพื่อระดมทุนมาใช้จ่ายของรัฐบาล โดยผู้ถือพันธบัตรจะได้ดอกเบี้ย และได้รับเงินต้นคืนเมื่อครบระยะเวลาที่กำหนดไว้ พันธบัตรรัฐบาล ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ และจ่ายดอกเบี้ยสม่ำเสมอ

2. ตั๋วเงินคลัง (Treasury Bill) : เป็นตราสารหนี้ระยะสั้นที่ออกโดยรัฐบาลผ่านกระทรวงการคลัง เพื่อระดมทุนจากประชาชนทั่วไป โดยตั๋วเงินคลังมีอายุไม่เกิน 1 ปี และไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยเป็นผลตอบแทน โดยผลตอบแทนของตั๋วเงินคลังจะอยู่ในรูปของส่วนลดจากราคาหน้าตั๋ว ซึ่งหมายความว่าผู้ลงทุนจะซื้อในราคาที่ต่ำกว่าราคาหน้าตั๋ว และเมื่อครบกำหนดจะได้รับเงินคืนตามราคาที่ตราไว้

3. หุ้นกู้ (Corporate Bond) : ออกโดยบริษัทต่าง ๆ เพื่อระดมทุน เพื่อขยายกิจการ หรือลงทุนด้านอื่น พันธบัตรของบริษัทมักให้อัตราผลตอบแทนสูงกว่าแต่มีความเสี่ยงสูงกว่าเมื่อเทียบกับพันธบัตรรัฐบาล

 

วิธีการลงทุนในพันธบัตร

การลงทุนในพันธบัตรถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการความมั่นคงและผลตอบแทนที่แน่นอน การลงทุนนี้สามารถทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการซื้อพันธบัตรใหม่จากตลาดแรก การซื้อขายในตลาดรอง การลงทุนผ่านกองทุนรวม หรือการใช้แพลตฟอร์มออนไลน์ แต่ละวิธีมีความสะดวกและข้อดีแตกต่างกันไป ตามความต้องการและสภาพคล่องของผู้ลงทุน

 

ข้อดีของการลงทุนในพันธบัตร

การลงทุนในพันธบัตร หรือตราสารหนี้นั้น มีความเสี่ยงที่ต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาล เนื่องจากมีรัฐบาลเป็นลูกหนี้ ที่มีความน่าเชื่อถือสูงและมีอำนาจในการเก็บภาษีเพื่อชำระหนี้ และได้ผลตอบแทนที่แน่นอน ผู้ถือพันธบัตรจะได้รับดอกเบี้ยตามที่กำหนดไว้ในพันธบัตรอย่างสม่ำเสมอ และจะได้รับเงินต้นคืนเมื่อครบกำหนดอายุ มีสภาพคล่องสูง พันธบัตรบางประเภทสามารถซื้อขายในตลาดรองได้ ทำให้ผู้ลงทุนสามารถเปลี่ยนพันธบัตรเป็นเงินสดได้ง่าย และเป็นการกระจายความเสี่ยง การลงทุนในพันธบัตรช่วยกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน 


การสร้างรายได้แบบ Passive Income ด้วยการประกันชีวิต


การสร้างรายได้แบบ Passive Income ด้วยการประกันชีวิต

การสร้างรายได้แบบ Passive Income ผ่านการประกันชีวิต เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ได้รับความนิยม โดยประกันชีวิตบางประเภทมีการออกแบบมาเพื่อมอบผลตอบแทนให้กับผู้เอาประกันในรูปแบบของเงินคืนระหว่างสัญญา หรือเงินปันผล โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกกรมธรรม์ตามความต้องการ เงินลงทุน หรือ ระยะเวลาได้ตามต้องการ ด้วยรูปแบบประกันชีวิตที่มีหลากหลาย แต่ละแบบก็มีจุดเด่น จุดด้อย และเหมาะกับการลงทุนที่แตกต่างกัน การเลือกประกันชีวิตให้เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญ

 

ประกันชีวิต เลือกแบบไหนให้ตอบโจทย์ความต้องการ

1. ประกันชีวิตแบบชั่วระยะเวลา (Term Insurance) : เหมาะกับผู้ที่ต้องการทุนประกันสูง จ่ายเบี้ยต่ำ มอบความคุ้มครองในระยะเวลาที่กำหนด หากเสียชีวิตระหว่างสัญญา ผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินทุนประกัน แต่หากมีชีวิตอยู่ครบสัญญา จะไม่ได้รับเงินอะไร

2. ประกันชีวิตแบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance) : เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคุ้มครองระยะยาว หากเสียชีวิตระหว่างสัญญา ผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินทุนประกัน เช่นเดียวกับหากมีชีวิตอยู่ครบสัญญา ประกันชีวิตแบบนี้พิเศษกว่าตรงที่มีมูลค่าเงินสดในกรมธรรม์ สามารถกู้ยืม หรือเวนคืนได้ 

3. ประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance) : เหมาะกับผู้ที่ต้องการสร้างวินัยการออมระยะยาว ได้รับผลตอบแทนแน่นอน ผสมผสานระหว่างความคุ้มครองชีวิตและการออม หากเสียชีวิตระหว่างสัญญา ผู้รับผลประโยชน์จะได้รับเงินทุนประกัน หากมีชีวิตอยู่ครบสัญญา จะได้รับเงินทุนประกัน เงินคืนรายงวด และเงินปันผล ประกันชีวิตแบบนี้ตอบโจทย์การออมเงินระยะยาว ได้ผลตอบแทนที่แน่นอน

4. ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Annuity Insurance) : เหมาะกับผู้ที่ต้องการรายได้สม่ำเสมอหลังเกษียณ จ่ายเงินบำนาญรายเดือนหรือรายปีให้ผู้เอาประกันหลังเกษียณ ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการความมั่นคงทางการเงินหลังวัยเกษียณ

5. ประกันชีวิตแบบควบการลงทุน (Unit Linked Insurance) : เหมาะกับผู้ที่ต้องการความคุ้มครอง และมีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูง ผสมผสานระหว่างความคุ้มครองชีวิตและการลงทุน ผู้เอาประกันสามารถเลือกกองทุนรวมเพื่อลงทุนได้ มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูง แต่ก็มีความเสี่ยง ประกันชีวิตแบบนี้เหมาะกับผู้ที่มีความรับผิดชอบต่อการลงทุน และต้องการผลตอบแทนที่สูง แต่ต้องยอมรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

 

Passive Income ผ่านประกันชีวิต มีข้อดีแต่ต้องพิจารณาให้รอบคอบ

การทำประกันมีข้อดีที่หลากหลาย เหมาะสมกับผู้ลงทุนหลายประเภท โดยในพื้นฐานประกันนั้นมีความเสี่ยงที่ต่ำ และคุ้มครองยามเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คุ้มครองชีวิตให้กับผู้เอาประกัน โดยเงินทุนที่ลงทุนนั้นมีความมั่นคงสูง ผู้เอาประกันจะได้รับผลตอบแทนที่แน่นอน ต่างจากการลงทุนในรูปแบบอื่น ๆ ที่มีความผันผวนสูง อีกทั้งยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ สุดท้ายนี้ประกันชีวิตมีหลายประเภทให้เลือก ผู้เอาประกันสามารถเลือกประเภทของประกันชีวิตที่เหมาะกับความต้องการ และความสามารถทางการเงิน ของตนเองได้อย่างลงตัว

 

การสร้าง Passive Income ผ่านประกันชีวิต เป็นที่นิยมเพราะมีข้อดีมากมาย แต่ก่อนตัดสินใจ ควรพิจารณาข้อเสียและข้อควรระวัง เช่นระยะเวลา ผู้เอาประกันต้องจ่ายเบี้ยประกันเป็นประจำ เหมาะกับผู้ที่มีความอดทน รอคอยผลตอบแทน โดยผลตอบแทนจากประกันชีวิต อาจจะไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับการลงทุนรูปแบบอื่น ๆ และมีสภาพคล่องที่จำกัดเงินทุนที่ลงทุนในประกันชีวิต ไม่สามารถถอนออกมาได้อย่างอิสระ ผู้เอาประกันอาจจะต้องเสียส่วนต่างในการถอน เหมาะกับผู้ที่มีเงินออมสำรอง ไม่ต้องการใช้เงินทุนก้อนใหญ่ในระยะสั้น 

 

แม้ว่าประกันชีวิตจะมีความเสี่ยงต่ำ แต่ก็ยังมีความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่น บริษัทประกันล้มละลาย ผู้เอาประกันไม่สามารถชำระเบี้ยได้อย่างต่อเนื่อง หรือถูกบริษัทประกันปฏิเสธการคุ้มครอง หรือยกเลิกกรมธรรม์ ควรศึกษาข้อมูล เกี่ยวกับความเสี่ยงก่อนตัดสินใจ

 

Passive Income ผ่านอสังหาริมทรัพย์


Passive Income ผ่านอสังหาริมทรัพย์

อสังหาริมทรัพย์ เป็นหนึ่งในรูปแบบการลงทุนยอดนิยมที่มอบ Passive Income ให้กับผู้ลงทุน เหมาะกับบุคคลที่ต้องการความมั่นคง ผลตอบแทนระยะยาว และสามารถควบคุมสินทรัพย์ด้วยตัวเอง เปรียบเสมือนมีทรัพย์สินที่ทำงาน สร้างรายได้ให้เรา โดยไม่ต้องลงแรงลงเวลา โดยมีตัวอย่างเช่น

1. การปล่อยเช่า : กลยุทธ์นี้ ผู้ลงทุนจะซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้าน คอนโดมิเนียม หรืออาคารพาณิชย์ นำมาปล่อยเช่า เก็บค่าเช่าจากผู้เช่าเป็นรายได้สม่ำเสมอ

ข้อดีของการปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ คือการสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอ มีกระแสเงินสดเข้าทุกเดือน ช่วยให้วางแผนการเงินได้อย่างมั่นใจ มีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง โดยขึ้นอยู่กับทำเล ประเภทอสังหาริมทรัพย์ และสภาวะตลาด หากเลือกอสังหาริมทรัพย์ได้ดีจะทำให้ได้ราคาปล่อยเช่าที่สูง และโอกาสในการขายต่อ อีกทั้งยังมีเทรนด์ของ มูลค่าอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะยาว อสังหาริมทรัพย์เป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ยิ่งถือครองนาน ยิ่งมีโอกาสได้กำไรจากส่วนต่างราคา

แต่การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ก็ยังมีข้อควรพิจารณาด้วยเช่นกัน คือต้องการเงินลงทุนเริ่มต้นสูงการซื้ออสังหาริมทรัพย์ต้องใช้เงินลงทุนก้อนใหญ่ ต้องการเวลาและความพยายามในการหาผู้เช่าและดูแลรักษา ซ่อมแซมดูแลอสังหาริมทรัพย์ เก็บค่าเช่า ซึ่งต้องใช้เวลาและความทุ่มเท อีกทั้งยังมีปัจจัยเสี่ยงที่เกิดจากปัญหาของผู้เช่า อาจจะเจอปัญหาผู้เช่าไม่จ่ายค่าเช่า สร้างความเสียหายให้กับอสังหาริมทรัพย์ หรือผิดสัญญาเช่า

 

2. การลงทุนเพื่อขายต่อ : การลงทุนขายต่ออสังหาริมทรัพย์ ผู้ลงทุนจะซื้ออสังหาริมทรัพย์มาพัฒนา ปรับปรุง สภาพ และนำไปขายต่อเพื่อหวังผลกำไรจากส่วนต่างราคา เหมาะกับผู้ลงทุนที่มีความสามารถหรือความรู้เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์
การซื้อมาขายไปมีโอกาสได้รับผลตอบแทนสูง หากซื้ออสังหาริมทรัพย์ในราคาถูก พัฒนาหรือปรับปรุงจนมีมูลค่าเพิ่ม และขายต่อในราคาที่สูงขึ้น ผู้ลงทุนมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า โดยจะเหมาะกับ ผู้ลงทุนที่มีความรู้เกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ มีความสามารถในการปรับปรุงอสังหาริมทรัพย์ หรือความสามารถเจรจาต่อรอง
ข้อเสียเปรียบของการซื้ออสังหาริมทรัพย์มาขายต่อ การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ต้องการเงินลงทุนเริ่มต้นสูง อีกทั้งยังเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาอสังหาริมทรัพย์ซึ่งอาจจะผันผวนตามสภาวะเศรษฐกิจ และการขายต่ออสังหาริมทรัพย์มักจะใช้เวลานานกว่าการปล่อยเช่า

 

3. REITs (Real Estate Investment Trusts) : REITs คือการที่นักลงทุนลงทุนในกองทุนรวมที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่าง ๆ โดยไม่ต้องซื้ออสังหาริมทรัพย์ด้วยตัวเอง นักลงทุนจะได้รับเงินปันผลจากผลประกอบการของกองทุน
ข้อดีของวิธีนี้คือลงทุนได้ง่าย ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อย นักลงทุนสามารถลงทุนใน REITs ได้ด้วยเงินจำนวนไม่มาก เหมาะกับนักลงทุนที่มีเงินทุนจำกัด และยังเป็นการกระจายความเสี่ยงเพราะ REITs ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หลายประเภท หลายทำเล ช่วยกระจายความเสี่ยง ลดความเสี่ยงจากการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพียงแปลงเดียว อีกทั้งยังมีสภาพคล่องสูง เพราะสามารถซื้อขายหน่วยลงทุนของ REITs ได้ง่ายในตลาดหลักทรัพย์
แต่ REITs นั้นก็มีข้อควรพิจารณาเช่นเดียวกับการลงทุนแบบอื่น ๆ เช่นผลตอบแทนอาจจะน้อยกว่าการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยตรง และผู้ลงทุนไม่มีสิทธิ์ควบคุมการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ด้วยตนเองไม่มีสิทธิ์เลือกอสังหาริมทรัพย์ที่ REITs ลงทุน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบริษัทจัดการ REITs

 

การสร้างรายได้แบบ Passive Income ด้วยหุ้น


การสร้างรายได้แบบ Passive Income ด้วยหุ้น

การลงทุนในหุ้น ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกยอดนิยมที่มอบความยืดหยุ่น โอกาสเติบโตสูง และเหมาะกับผู้ลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระยะยาว

 

ประเภทในการสร้าง Passive Income ผ่านหุ้น

1. เงินปันผล : วิธีสร้าง Passive Income ที่นิยมมากที่สุด คือการลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ผู้ลงทุนจะได้รับเงินปันผลเป็นรายได้สม่ำเสมอ เปรียบเสมือนเงินเดือนจากการลงทุน

ข้อดี คือการได้รายได้ที่สม่ำเสมอ ผู้ลงทุนจะได้รับเงินปันผลเป็นประจำ ในแต่ละช่วง ขึ้นอยู่กับบริษัทที่ถือหุ้น ทำให้ช่วยวางแผนการเงินได้อย่างมั่นคง มีโอกาสรับผลตอบแทนสูงในระยะยาว เพราะมูลค่าของหุ้นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในระยะยาวขึ้นกับพื้นฐานของบริษัท และสภาพเศรษฐกิจส่งผลให้เงินปันผลมีโอกาสเพิ่มขึ้นตาม

ข้อเสีย คือ ผลตอบแทนขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท หากบริษัทมีผลประกอบการไม่ดี ไม่มีการเติบโต อาจจะมีผลกระทบต่อเงินปันผลที่ลดลงหรือไม่จ่ายเงินปันผลก็อาจเกิดขึ้นได้ และราคาหุ้นมีโอกาสผันผวน ราคาหุ้นขึ้นลงตามภาวะตลาด เศรษฐกิจ การเมือง ข่าวที่มีผลกระทบต่อบริษัท ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินทุนหากขายหุ้นในช่วงที่ราคาหุ้นตก

 

2. Capital Gain : คือการซื้อหุ้นไว้ รอจนราคาขึ้นแล้วขายเพื่อทำกำไร เป็นอีกหนึ่งวิธีสร้าง Passive Income ผ่านหุ้น แต่ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และความอดทนในการลงทุน การอาศัยจังหวะ Capital Gain มีโอกาสรับผลตอบแทนสูง หากราคาหุ้นขึ้นสูง ผู้ลงทุนมีโอกาสได้กำไรมากสามารถควบคุมเวลาซื้อขายเองได้ตามต้องการ

แต่ผู้ลงทุนจะต้องเผชิญกับเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหุ้นตามภาวะตลาด ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินทุนและต้องการความรู้และประสบการณ์ ต้องศึกษาข้อมูล และวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อขายหุ้น

 

3. กองทุนรวมหุ้น : การลงทุนผ่านกองทุนรวมหุ้น เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สะดวก เหมาะกับผู้ลงทุนมือใหม่ เพราะมีผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลจัดการเงินลงทุน ลงทุนได้ง่าย ใช้เงินลงทุนเริ่มต้นน้อย สามารถกระจายความเสี่ยงได้ เพราะกองทุนรวมลงทุนในหุ้นหลายตัว หลายบริษัท ช่วยลดความเสี่ยง มีผู้จัดการกองทุนที่มีความเชี่ยวชาญ ทำให้ผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องคอยติดตามข่าวสารของหุ้นรายตัว หรือจัดการพอร์ตการลงทุนของตัวเอง

โดยมีข้อดีก็ต้องมีข้อเสียเช่นเดียวกัน เพราะผลตอบแทนอาจจะน้อยกว่าลงทุนในหุ้นโดยตรง มีค่าธรรมเนียมในการบริหารจัดการกองทุน และผู้ลงทุนไม่มีสิทธิ์เลือกหุ้นเอง ขึ้นอยู่กับการจัดการของผู้จัดการกองทุน

การสร้างรายได้แบบ Passive ด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล


การสร้างรายได้แบบ Passive ด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล

ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกแง่มุมของชีวิต การเงินก็เป็นอีกหนึ่งส่วนที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก หนึ่งในนวัตกรรมทางการเงินที่กำลังมาแรงและได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุบันก็คือ สินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Assets) นอกจากการลงทุนเพื่อเก็งกำไรแล้ว สินทรัพย์ดิจิทัลยังสามารถนำไปสร้างรายได้แบบ Passive ได้อีกด้วย ซึ่งถือเป็นโอกาสใหม่ในการสร้างความมั่งคั่งให้กับผู้ลงทุนยุคใหม่ โดยข้อได้เปรียบของสินทรัพย์ดิจิทัลมีหลายข้อ เช่น

1. สร้างรายได้สม่ำเสมอ : นักลงทุนสามารถสร้างรายได้แบบ Passive ผ่านกลยุทธ์ต่าง ๆ เช่น การรับดอกเบี้ยจากการถือเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีบางประเภท การปล่อยกู้สินทรัพย์ดิจิทัล หรือการเข้าร่วมโปรแกรมปันผล

2. มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูง : สินทรัพย์ดิจิทัลมีมูลค่าผันผวนสูง นักลงทุนมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนแบบดั้งเดิม แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน

3. เข้าถึงง่าย : นักลงทุนสามารถซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง สะดวก รวดเร็ว

4. มีตัวเลือกหลากหลาย : มีสินทรัพย์ดิจิทัลหลากหลายประเภท นักลงทุนสามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่เหมาะกับความเสี่ยงและเป้าหมายทางการเงิน

 

แต่ก็ยังมีข้อพิจารณา เช่น ความผันผวนที่สูง นักลงทุนอาจจะสูญเสียเงินทุนหากราคาสินทรัพย์ดิจิทัลลดลง ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความรู้และประสบการณ์ของผู้ลงทุน การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนั้น ผู้ลงทุนควรมีความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชน สินทรัพย์ดิจิทัล และกลยุทธ์การลงทุนให้ละเอียดก่อนการลงทุน

ใครเหมาะกับการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล

  • ผู้ลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง : สินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูง ผู้ลงทุนจึงต้องรับความเสี่ยงได้สูง
  • ผู้ลงทุนที่มีความรู้และเข้าใจ : การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นจำเป็นต้องมีความรู้และเข้าใจเทคโนโลยีบล็อกเชน
  • ผู้ลงทุนที่มีระยะเวลาการลงทุนระยะยาว : สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นการลงทุนระยะยาว ผู้ลงทุนจึงต้องมีระยะเวลาในการลงทุนระยะยาว

 

ทำไมผู้จัดการกลยุทธ์สินทรัพย์ดิจิทัลถึงสำคัญ?

ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นมีความซับซ้อนและผันผวนสูง ที่เต็มไปด้วยโอกาสและเต็มไปด้วยความเสี่ยง ผู้ลงทุนทั่วไปอาจไม่มีเวลา ความรู้ หรือประสบการณ์ที่เพียงพอที่จะติดตามข่าวสาร วิเคราะห์ตลาด และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงจำเป็นต้องมีผู้จัดการกลยุทธ์สินทรัพย์ดิจิทัลเป็นตัวช่วยอีกทาง

 

เหตุผลว่าทำไมผู้จัดการกลยุทธ์สินทรัพย์ดิจิทัลจึงมีความสำคัญ

  • ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ : ผู้จัดการกลยุทธ์มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้และประสบการณ์ในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลสูง สามารถติดตามข่าวสาร วิเคราะห์ตลาด และตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การกระจายความเสี่ยง : ผู้จัดการกลยุทธ์จะกระจายเงินทุนของผู้ลงทุนไปลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลหลายประเภทเพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น
  • ประหยัดเวลา : การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลนั้นใช้เวลามากในการศึกษา ทำความเข้าใจ หรือตามข่าวสารในแต่ละวัน ผู้ลงทุนจึงใช้บริการนี้ในการจัดการสินทรัพย์การลงทุน รวมถึงดูแลจัดการทรัพย์สินดิจิทัล

Merkle Capital เป็นบริษัทผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องจาก สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของประเทศไทย Merkle Capital นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ลงทุน

 

บริการของ Merkle Capital

  • กลยุทธ์การลงทุน : Merkle Capital มีกลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลาย เหมาะกับผู้ลงทุนที่มี ความเสี่ยง ที่แตกต่างกัน
  • กองทุนรวมสินทรัพย์ดิจิทัล :Merkle Capital นำเสนอกลยุทธ์สินทรัพย์ดิจิทัลที่ผู้ลงทุนสามารถลงทุนได้โดยเริ่มต้นที่ 10,000 บาท

 

ข้อดีของ Merkle Capital

  • มีทีมงานมืออาชีพ : Merkle Capital มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีประสบการณ์สูง
  • ได้รับใบอนุญาตจาก ก.ล.ต. : Merkle Capital ได้รับใบอนุญาตอย่างถูกต้องจากกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นเจ้าแรกในไทย
  • กลยุทธ์ที่หลากหลายเหมาะแก่ผู้ลงทุน : Merkle Capital นำเสนอกลยุทธ์ที่เหมาะกับความสามารถในการเสี่ยงของผู้ลงทุนแต่ละคน

 

คุณพร้อมสำหรับการลงทุนเพื่อ Passive Income หรือยัง?

การลงทุนเพื่อสร้าง Passive Income เป็นกลยุทธ์ที่สามารถมอบความมั่นคงทางการเงินและอิสรภาพในระยะยาว โดยสามารถทำได้ผ่านการลงทุนในหลากหลายรูปแบบ อาทิ พันธบัตร ประกันชีวิต อสังหาริมทรัพย์ หุ้น และสินทรัพย์ดิจิทัล แต่ละประเภทมีลักษณะเด่นและข้อควรพิจารณาที่แตกต่างกันไป ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการลงทุนแต่ละแบบอย่างถี่ถ้วน เพื่อตัดสินใจเลือกการลงทุนที่เหมาะสมกับความต้องการ และความสามารถทางการเงินของตนเอง

การสร้างรายได้แบบ Passive Income ต้องอาศัยการวางแผนและการบริหารจัดการอย่างรอบคอบ เพื่อให้เกิดรายได้ที่สม่ำเสมอและมั่นคงในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำและผลตอบแทนแน่นอน หรือการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงและโอกาสรับผลตอบแทนที่สูงกว่า ผู้ลงทุนต้องมีความอดทนและมีความรับผิดชอบต่อการตัดสินใจลงทุน 

การสร้าง Passive Income ไม่เพียงแต่จะช่วยเพิ่มรายได้ แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาว ทำให้ผู้ลงทุนมีอิสรภาพทางการเงิน สามารถใช้ชีวิตตามความฝันและเป้าหมายได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น การเริ่มต้นวางแผนการลงทุนตั้งแต่วันนี้ จะเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงให้กับอนาคต

 

หมายเหตุ

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

 

เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Merkle Capital คือผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานก.ล.ต. บริษัทให้การดูแลและบริหารเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและการบริหารจัดการ