มิถุนายน 24, 2024
หลายคนคงเคยได้ยินประโยคที่บอกว่า “เราต้องมีการแบ่งพอร์ตการลงทุนเพื่อให้การลงทุนนั้นปลอดภัยขึ้น” แล้วการแบ่งสัดส่วนการลงทุนสามารถทำให้ปลอดภัยได้อย่างไร แล้วทำไมต้องแบ่งสัดส่วนการลงทุน เราลงทุนในแค่สิ่งเดียวไม่ได้เหรอ ในบทความนี้เราจะมาหาคำตอบกัน
การแบ่งพอร์ตการลงทุนที่ดี ต้องมีการกำหนดรูปแบบการลงทุนให้เหมาะกับความเสี่ยงที่ตัวเราเองรับได้ ว่าเราควรจะลงทุนในสินทรัพย์อะไรบ้าง ในสัดส่วนอย่างละเท่าไหร่ หรือที่สิ่งที่เรียกว่าเรียกว่า “Asset Allocation” ที่จะช่วยเราสร้างโอกาสการลงทุน พร้อมกับการกระจายความเสี่ยงไปในตัวด้วย โดยการแบ่งสัดส่วนของเงินลงทุนในความเหมาะสมระหว่างสินทรัพย์ต่าง ๆ ภายใต้วัตถุประสงค์การลงทุนของบุคคล การแบ่งพอร์ตการลงทุนอาจลงทุนในหุ้น พันธบัตรระหว่างประเทศ อสังหาริมทรัพย์ เงินสด หรือสินทรัพย์ทางเลือกอื่น ๆ การเลือก Asset allocation ที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน และสร้างโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมตามเป้าหมายการลงทุนของบุคคล
โดยมีทฤษฎีการแบ่งพอร์ตการลงทุนอยู่หลากหลายทฤษฎีเช่น
โดย ณ ปัจจุบันการแบ่งพอร์ตการลงทุน นั้นมีการอ้างอิงทฤษฎีเหล่านี้เข้ามาประยุกต์ใช้เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุดกับตัวของนักลงทุนเองโดยอาจจะหยิบบางส่วนของทฤษฎีมาปฎิบัติและใช้งานตามสถานะการตามความเป็นจริงในตอนนั้น ๆ
การแบ่งพอร์ตการลงทุนขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุนและความเสี่ยงที่พร้อมรับได้โดยมีทั้งหมด 4 ขั้นตอน ในการสร้างพอร์ตการลงทุน
1. กำหนดเป้าหมายการลงทุน: เราควรแยกพอร์ตการลงทุนออกเป็นตามแต่ละเป้าหมาย เพราะมีเงื่อนไข ความสำคัญ และระยะเวลาที่ต้องบรรลุเป้าหมายแตกต่างกันออกไป ซึ่งจะมีผลต่อการเลือกประเภทของสินทรัพย์ลงทุนให้เหมาะกับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่คาดหวังของแต่ละพอร์ตฯ โดยวิธีการกำหนดเป้าหมายทางการเงินให้ SMART มีหลักการง่ายๆ ดังนี้
2. ประเมินความเสี่ยง: พิจารณาระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ทั้งในแง่ของทัศนคติที่มีต่อการลงทุน อายุ ฐานะ การเงิน และความอดทนต่อการขาดทุน เช่น วัยเริ่มทำงาน อายุน้อย ไม่มีภาระ มีระยะเวลาในการลงทุนยาว ก็สามารถรับความเสี่ยงได้สูง แต่หากเป็นวัยกลางคน มีภาระเยอะ เหลือเวลาลงทุนไม่นาน ก็จะรับความเสี่ยงได้ต่ำกว่า
3. แบ่งสัดส่วน: หลังจากที่คุณกำหนดเป้าหมายและประเมินความเสี่ยง คุณสามารถตัดสินใจเรื่องการแบ่งสัดส่วนของการลงทุนได้ โดยสามารถแบ่งสัดส่วนเงินทุนของคุณออกเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น หุ้นหรือพันธบัตรระหว่างประเทศ และการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้นที่ไม่ได้ถูกซื้อขายในตลาดเปิดหรือการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก ตามความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนยอมรับได้
4. การตรวจสอบและปรับเปลี่ยน: เมื่อลงทุนไปสักระยะหนึ่ง สถานการณ์ ภาวะตลาดการลงทุนและราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ ย่อมเปลี่ยนแปลง อาจทำให้น้ำหนักของสินทรัพย์บางตัวมากเกินไป หรือน้อยเกินไป เช่น ถ้าปีนี้หุ้นสามัญสร้างผลตอบแทนได้ดี สัดส่วนของหุ้นในพอร์ตของเราก็จะเพิ่มขึ้นโดยปริยาย และหากในปีถัดไปตลาดหุ้นตกอย่างหนัก แน่นอนว่าพอร์ตการลงทุนที่มีหุ้นเป็นสัดส่วนที่มากก็มีโอกาสที่จะขาดทุนมากนั่นเอง
หากพูดถึงการบริหารจัดการเงิน การแบ่งพอร์ตการลงทุนคือสิ่งที่ควรใส่ใจลำดับต้น ๆ เพื่อความมั่นคงระยะยาวในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นกองทุน หุ้น อสังหาริมทรัพย์และธุรกิจต่าง ๆ ซึ่งพอร์ตที่หลายคนคุ้นชินกัน คือ พอร์ตหุ้นหรือพอร์ตกองทุนเนื่องจากสามารถติดตามผลการลงทุนได้ง่าย แล้วการจัดพอร์ตมีอะไรสำคัญบ้าง
การลงทุนตามเทรนด์เป็นสิ่งสำคัญก็จริง แต่จะดีกว่าหากคุณลงทุนในสิ่งที่ตนเองสนใจด้วย เนื่องจากการให้ความสำคัญกับสิ่งที่ตนเองใส่ใจจะมีแนวโน้มที่คุณจะติดตามการลงทุนนั้นๆ ได้ดี และจัดพอร์ตได้อย่างมีคุณภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นพอร์ตหุ้น กองทุน และการลงทุนในสิ่งอื่นๆสำหรับเทรนด์ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน ได้แก่เทคโนโลยี,คริปโตเคอร์เรนซี,ESG
การจัดพอร์ตที่ดีไม่ใช่การวางแผนแบบสุดโต่งไปด้านใดด้านหนึ่ง แต่เป็นการจัดการที่มีความสมดุลทั้งในแง่ของการจัดการความเสี่ยงและการทำกำไรจากพอร์ตนั้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กองทุน ตราสารหนี้ และการลงทุนในทรัพย์สินอื่น ๆ ซึ่งมีความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป
1. แยกพอร์ตตามเป้าหมายการลงทุน
2. ติดตามเทรนด์การลงทุนอย่างสม่ำเสมอแม้ว่าการซื้อกองทุนจะทำให้คุณไม่จำเป็นต้องจัดการสินทรัพย์ต่าง ๆ ด้วยตนเอง แต่การติดตามเทรนด์การลงทุนเป็นระยะ ๆ ก็จะทำให้คุณรู้ว่ากองทุนตัวไหนดี กองทุนตัวไหนน่าสนใจ รวมถึงมีความรู้รอบตัวระดับหนึ่งว่าเทรนด์การลงทุนประเภทไหนกำลังจะมา เพื่อให้คุณมีความรู้และความเข้าใจในการจัดพอร์ตรูปแบบต่าง ๆ ครั้งต่อไปมากขึ้น
3. เริ่มจัดพอร์ตเลยไม่ต้องรอการจัดพอร์ตไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอย่างที่คิดและสามารถเริ่มได้ทันที แม้แต่คนที่เริ่มลงทุนไปแล้วก็สามารถจัดพอร์ตตามสไตล์ของตนเองได้ แต่อาจใช้เวลาปรับเปลี่ยน เพิ่ม-ลด การลงทุนต่าง ๆ ให้เหมาะสมมากขึ้นตามจังหวะเวลา
4. ปรับพอร์ตตามสถานการณ์ต่างๆการจัดพอร์ตที่ดีไม่ควรนิ่งจนเกินไป ดังที่อธิบายในหัวข้อของเทรนด์การลงทุน พอร์ตต่างๆ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาแม้แต่พอร์ตระยะยาวเองก็ตาม หากกองทุนหรือหุ้นตัวไหนสามารถให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าได้ การเลือก Take Profit ออกมาบ้างตามจังหวะก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายเนื่องจากอาจจะเกิดความผันผวนที่ไม่คาดคิดจากการลงทุนได้
5. การนำ Strategic Asset Allocation และ Tactical Asset Allocation มาผนวกเข้าด้วยกัน โดย Strategic Asset Allocation (SAA) คือการจัดพอร์ตผสมสินทรัพย์ เพื่อลงทุนสร้างผลตอบแทนในระยะยาวสามารถจัดตามช่วงอายุ ดังนั้น ระยะความมั่งคั่งเป็นตัวกำหนดกลยุทธ์การลงทุน SAA ของเราในระยะยาวการผสมสินทรัพย์ อย่าง หุ้น บอนด์ และตราสารทางเลือก อย่าง ทองคำ น้ำมัน สินค้าโภคภัณฑ์และ REIT สามารถกระจายความเสี่ยงจากการลงทุนได้ สินทรัพย์ทุกประเภทไม่มีผู้ชนะตลอดเวลา มีการเคลื่อนไหวของราคาที่ไม่สอดคล้องกัน ผลัดกันทำผลตอบแทนและขาดทุนได้ ดังนั้นการจัดพอร์ต จะทำให้ความผันผวนโดยรวมลดลง และสร้างผลตอบแทนได้ตามรอบระยะเศรษฐกิจขึ้นและลงโดยเฉพาะอย่างยิ่ง สินทรัพย์อย่างหุ้นเป็นสินทรัพย์เสี่ยงที่สามารถให้ผลตอบแทนระยะยาวได้ เป็นสัดส่วนที่ควรนำมาพิจารณาลำดับแรก ๆ ว่า ถ้าเราต้องการสร้างความมั่งคั่งในระยะยาว 5-10 ปีขึ้นไป ดังนั้นสำหรับระยะสะสมและระยะมั่งคั่ง การเลือกลงทุนในหุ้นเป็นสัดส่วนที่มากหน่อย จะสร้างผลตอบแทนได้ และระยะเวลาที่นานพอจะทำให้เราปล่อยวางจากการลงทุนได้ แม้ในยามตลาดขาลง เมื่อเราสามารถจัดสัดส่วน SAA ได้แล้ว บางคนมีความสามารถในการวิเคราะห์สภาวะเศรษฐกิจดี หรือมีความเชี่ยวชาญในการจับจังหวะตลาด อาจจะใช้ TAA หรือ การทำ Tactical ของสัดส่วนสินทรัพย์ในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น 1 ปี หรือ 1 ปีครึ่ง เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะสั้นเราสามารถนำปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่นอัตราการเติบโตของหุ้นและประเทศที่ลงทุน อัตราเงินเฟ้อ นโยบายการเงิน การเมือง มาปรับสัดส่วนออกจาก SAA ได้ แต่ไม่มากเกินไป เช่นสูงสุด 20-30% เป็นต้น
6. มีสติในทุกการตัดสินใจลงทุนความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้เสมอและมีตัวอย่างให้เห็นอยู่ตลอดมาดังอ้างอิงจากข้อที่แล้ว สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับนักลงทุน คือ “การมีสติในทุกการลงทุน” พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ รู้จักรอในเวลาที่เหมาะสม รู้จักเข้าใจเวลาที่ควร เพื่อการตัดสินใจที่ดีที่สุด
จะเห็นได้ว่าจากคำแนะนำในการแบ่งพอร์ตการลงทุนหรือการแบ่งพอร์ตการลงทุนนั้นควรเริ่มจากสิ่งที่เป็นเรื่องการตรวจสอบเรื่องส่วนตัวของนักลงทุนเองก่อนไม่ว่าจะเป็นการกำหนดเป้าหมายการลงทุนลงนักลงทุนเองตามหลัก SMART เพื่อให้นักลงทุนมีกรอบเป้าหมายการลงทุนที่ชัดเจนและการประเมินความเสี่ยงเพื่อให้นักลงทุนรู้ว่าตนเองเหมาะสมกับรูปแบบการลงทุนแบบไหนจึงค่อยเริ่มที่จะเลือกสินทรัพย์ในการลงทุนและค่อยๆทยอยปรับเปลี่ยนลักษณะการแบ่งพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับนักลงทุนมากยิ่งขึ้นโดยนี่คือทั้งหมดของวิธีในการสร้างพอร์ตการลงทุนให้เหมาะกับตนเองนั้นเอง
คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
Disclaimer