การ Rebalance Portfolio คืออะไร ควรปรับพอร์ตการลงทุนอย่างไรบ้าง

ตุลาคม 04, 2024

thumbnail

ในโลกของการลงทุนมีสิ่งที่เรียกว่า “Market Cycle” ซึ่งแสดงถึงช่วงเวลาที่เงินจะไหลเข้า-ออกแต่ละสินทรัพย์ โดยขึ้นกับทั้งภาพรวมเศรษฐกิจโลกและปัจจัยภายในสินทรัพย์นั้น ๆ ดังนั้น หากนักลงทุนสามารถวิเคราะห์ Market Cycle และเลือกลงทุนสินทรัพย์ที่จะมีเงินไหลเข้า จะทำให้มีโอกาสทำกำไรสูงขึ้น ดังนั้นการ Rebalance Portfolio จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้โอกาสทำกำไรสูงขึ้นทั้งยังลดความเสี่ยงได้ในกรณีที่วิเคราะห์ถูกต้อง

 

Portfolio Rebalancing คืออะไร ทำไมต้องทำ

Portfolio Rebalancing คือการปรับและควบคุมสัดส่วนสินทรัพย์ที่ลงทุนไว้ให้ใกล้เคียงกับแผนการที่กำหนด อีกทั้งการ Rebalance Portfolio เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยรักษาความสมดุลและกระจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน เพื่อรักษาผลตอบแทนที่เกิดขึ้นและลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต


Portfolio Rebalancing

ทำไมต้อง Rebalance

  1. รักษาสัดส่วนการลงทุนที่ตั้งใจไว้ : เมื่อระยะลงทุนเพิ่มขึ้น ราคาของแต่ละสินทรัพย์มีการปรับตัวตลอดเวลา ทำให้สัดส่วนในการลงทุนมีการเปลี่ยนแปลง หากไม่ทำการ Rebalance อาจส่งผลให้การถือครองสินทรัพย์บางชนิดมากหรือน้อยกว่าที่ตั้งใจไว้ได้
  2. ลดความเสี่ยง : สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงมักจะมีผลตอบแทนที่สูงตาม ดังนั้นหากกำไรจากสินทรัพย์กลุ่มนี้มากขึ้น อาจทำให้การถือครองสินทรัพย์เสี่ยงมีมากกว่าที่ตั้งใจไว้ ดังนั้นการลดสัดส่วนลงช่วยเก็บกำไรและลดความเสี่ยงที่เกิดขึ้นจากการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงได้
  3. เพิ่มโอกาสในการทำกำไร : การ Rebalance Portfolio คือการช่วยเพิ่มโอกาสในการทำกำไรโดยการขายสินทรัพย์ที่มีราคาสูงเกินไปและเพิ่มโอกาสในซื้อสินทรัพย์ที่มีราคาต่ำ ซึ่งทำให้การลงทุนมีโอกาสทำกำไรได้สูงมากขึ้น
  4. ลดความรู้สึกทางอารมณ์ในการตัดสินใจลงทุน : สถานการณ์ที่ตลาดมีความผันผวนสูง การ Rebalance Portfolio จะช่วยให้นักลงทุนควบคุมความเสี่ยงและโอกาสทำกำไรได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยให้มั่นคงต่อแผนการลงทุนมากขึ้น

 

การ Rebalance Portfolio ช่วยลดความเสี่ยงได้จริงไหม

การ Rebalance Portfolio สามารถช่วยลดความเสี่ยงได้จริง การ Rebalance ช่วยให้พอร์ตการลงทุนมีการกระจายความเสี่ยงที่สมดุล ช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการมีสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงเกินไปในพอร์ต มากไปกว่านั้น การ Rebalance Portfolio ยังช่วยให้นักลงทุนสามารถรักษาสัดส่วนการถือครองสินทรัพย์ที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น

การลดความเสี่ยงจากการ Rebalance Portfolio

เมื่อทราบถึงเหตุผลที่นักลงทุนควร Rebalance Portfolio แล้ว สามารถพิจารณาแนวทางลดความเสี่ยงของพอร์ตลงทุนจากการ Rebalance ได้ดังนี้

  1. การกระจายความเสี่ยง : การ Rebalance Portfolio ช่วยให้พอร์ตการลงทุนลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการมีสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงเกินไปในพอร์ต โดยการกระจายความเสี่ยงสามารถแบ่งลงทุนได้ในสินทรัพย์หลายประเภท เช่น หุ้น พันธบัตร อสังหาริมทรัพย์ และทองคำ
  2. การปรับสัดส่วนการลงทุน : การ Rebalance Portfolio ช่วยให้นักลงทุนสามารถปรับสัดส่วนการลงทุนให้กลับมาอยู่ในระดับที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น สัดส่วนการลงทุนที่สมดุลช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการมีสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงเกินไปในพอร์ต รวมถึงสามารถรักษาผลกำไรจากสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงมากเกินไป
  3. การติดตามและปรับพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่อง : การติดตามและปรับพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่องช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของตลาด การทำ Rebalance Portfolio อย่างสม่ำเสมอช่วยให้นักลงทุนสามารถรักษาความสมดุล ทั้งในด้านความเสี่ยงและโอกาสทำกำไร มากไปกว่านั้น การติดตามและปรับแผนลงทุนอยู่เสมอจะทำให้ Mindset ในการลงทุนอยู่ในเกณฑ์ที่ดีในระยะยาว

 

Rebalance Portfolio ทำยังไง

การ Rebalance Portfolio เป็นกระบวนการที่นักลงทุนสามารถทำได้ด้วยตัวเองหรือใช้บริการของที่ปรึกษาการลงทุนและคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ โดยการทำ Rebalance Portfolio มีขั้นตอนดังนี้

1. กำหนดสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสม :

นักลงทุนควรกำหนดสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะสมตามเป้าหมายการลงทุนและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ สัดส่วนที่เหมาะสมจะแตกต่างกันไปตามแต่ละบุคคล ซึ่งพิจารณาจากความเสี่ยงและโอกาสในการทำกำไรเป็นหลัก

2. ตรวจสอบสัดส่วนของพอร์ตการลงทุนปัจจุบัน :

การตรวจสอบสัดส่วนของสินทรัพย์ในพอร์ตการลงทุนในขณะนั้น ทำเพื่อดูว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างและสินทรัพย์ใดบ้าง ที่มีสัดส่วนสูงหรือต่ำกว่าที่กำหนดไว้

3. ขายสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนสูงเกินไป :

หากสินทรัพย์บางประเภทมีสัดส่วนสูงเกินไป นักลงทุนควรขายสินทรัพย์เหล่านั้นเพื่อลดสัดส่วนให้กลับมาอยู่ในระดับที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น

4. ขายสินทรัพย์ที่มีราคาสูงเกินไป :

หากสินทรัพย์บางประเภทมีราคาสูงเกินไป นักลงทุนควรขายสินทรัพย์เหล่านั้นเพื่อลดโอกาสขาดทุนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และเก็บรักษาผลกำไรที่เกิดขึ้นเพื่อการเติบโตของพอร์ตในระยะยาว

5. ซื้อสินทรัพย์ที่มีสัดส่วนต่ำเกินไป :

หากสินทรัพย์บางประเภทมีสัดส่วนต่ำเกินไป นักลงทุนควรซื้อสินทรัพย์เหล่านั้นเพื่อเพิ่มสัดส่วนให้กลับมาอยู่ในระดับที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่ต้น

6. ซื้อสินทรัพย์ที่มีราคาต่ำเกินไป :

หากสินทรัพย์บางประเภทมีราคาต่ำเกินไป นักลงทุนควรซื้อสินทรัพย์เหล่านั้นเพื่อเพิ่มโอกาสในการทำกำไรที่จะเกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ต้องพิจารณาถึงการเติบโตของสินทรัพย์ประเภทนั้นด้วย ไม่ควรเข้าซื้อสินทรัพย์ที่เป็นแนวโน้มขาลงแม้ราคาต่ำเกินไปก็ตาม

7. ติดตามและปรับพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่อง :

นักลงทุนควรติดตามและปรับพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พอร์ตการลงทุนมีความสมดุลและสอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนที่ตั้งใจไว้ การทำ Rebalance Portfolio ควรทำอย่างน้อยปีละครั้ง หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของสภาวะตลาดที่ส่งผลกระทบต่อสัดส่วนและราคาของสินทรัพย์ในพอร์ต อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรพิจารณาสภาวะตลาดและความผันผวนเพื่อให้แน่ใจว่าการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนเป็นไปอย่างเหมาะสม

 

กลยุทธ์ในการ Rebalance Portfolio

เมื่อทราบถึงความสำคัญและวิธีการเบื้องต้นในการ Rebalance Portfolio แล้ว นักลงทุนสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับพอร์ตตนเองได้และพิจารณาถึงความพอใจในวิธีการปรับพอร์ตต่าง ๆ ซึ่งหัวข้อสุดท้ายของบทความนี้จะมาแนะนำถึงกลยุทธ์เบื้องต้นในการ Rebalance Portfolio เพื่อให้นำไปเป็นแนวทางในการจัดพอร์ต

1. Periodic Rebalancing

การ Rebalance Portfolio ตามช่วงเวลาเป็นกลยุทธ์ที่ง่ายและเป็นที่นิยมที่สุด นักลงทุนสามารถนำวิธีนี้มาใช้ในการปรับสมดุลพอร์ในช่วงเวลาที่ตั้งใจไว้ เช่น ทุกเดือน ทุกไตรมาส หรือทุกปี ขึ้นอยู่กับความสะดวกและเป้าหมายของการลงทุน

ข้อดีของการ Rebalance ตามช่วงเวลา :

  • ง่ายต่อการดำเนินการ
  • ลดความรู้สึกทางอารมณ์ในการตัดสินใจลงทุน
  • ช่วยรักษาสัดส่วนการลงทุนที่ตั้งใจไว้

ข้อเสียของการ Rebalance ตามช่วงเวลา :

  • อาจไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
  • อาจมีความคลาดเคลื่อนจากโอกาสทำกำไรสูงสุด

2. Threshold Rebalancing

การ Rebalance Portfolio ตามเกณฑ์ความเบี่ยงเบนเป็นกลยุทธ์ที่จะปรับสมดุลพอร์ตเมื่อสัดส่วนของสินทรัพย์ผันผวนเกินเกณฑ์ที่กำหนด เช่น จะมีการปรับพอร์ตทุกครั้งเมื่อสัดส่วนของสินทรัพย์ประเภทหนึ่งเพิ่มขึ้นหรือลดลงมากกว่า 5% จากที่ตั้งเป้าหมายไว้

ข้อดีของการ Rebalance ตามเกณฑ์ความเบี่ยงเบน :

  • ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว
  • ลดความเสี่ยงจากการมีสัดส่วนสินทรัพย์ที่ไม่สมดุล

ข้อเสียของการ Rebalance ตามเกณฑ์ความเบี่ยงเบน :

  • อาจมีการทำธุรกรรมจำนวนมากในช่วงที่ตลาดมีความผันผวน
  • ต้องการการติดตามและการวิเคราะห์อย่างใกล้ชิด

3. Value Averaging

Value Averaging เป็นกลยุทธ์การ Rebalance Portfolio ที่ปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนโดยการเพิ่มหรือลดจำนวนเงินลงทุนตามมูลค่าของพอร์ตการลงทุนในแต่ละช่วงเวลา ตัวอย่างเช่น หากมูลค่าของพอร์ตการลงทุนต่ำกว่าที่คาดไว้ นักลงทุนจะเพิ่มเงินลงทุนเพื่อเพิ่มมูลค่าให้กลับมาอยู่ในระดับที่ตั้งใจไว้

ข้อดีของการใช้หลักการ Value Averaging :

  • ช่วยรักษามูลค่าของพอร์ตการลงทุนในระดับที่ตั้งใจไว้
  • รักษาผลตอบแทนจากกำไรส่วนเกินจากที่ตั้งใจไว้

ข้อเสียของการใช้หลักการ Value Averaging :

  • ต้องการการติดตามและการวิเคราะห์อย่างใกล้ชิด
  • มีโอกาสขาดทุนสูงขึ้นจากการเพิ่มเงินลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่เติบโต

4. Dollar-Cost Averaging (DCA)

Dollar-Cost Averaging (DCA) เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่นักลงทุนจะทำการลงทุนเงินจำนวนเท่า ๆ กันในช่วงเวลาที่กำหนด เช่น ทุกเดือน ทุกไตรมาส หรือทุกปี การทำเช่นนี้ช่วยลดความเสี่ยงจากการลงทุนในช่วงที่ราคาสูงเกินไป

ข้อดีของการใช้หลักการ Dollar-Cost Averaging :

  • ได้ราคาสินทรัพย์ที่เหมาะสมในระยะยาว ไม่แพงและไม่ถูกเกินไป
  • สร้างผลตอบแทนระยะยาวที่ดีเนื่องจากเพิ่มเงินลงทุนต่อเนื่อง

ข้อเสียของการใช้หลักการ Dollar-Cost Averaging :

  • อาจใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลตอบแทนที่คุ้มค่า
  • ต้องการการลงทุนอย่างต่อเนื่องและมีระเบียบวินัย

5. Buy and Hold

Buy and Hold เป็นกลยุทธ์การลงทุนที่ซื้อสินทรัพย์และถือครองไว้เป็นเวลานาน กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่มีความมั่นใจในสินทรัพย์ที่ลงทุนสูง

ข้อดีของการใช้หลักการ Buy and Hold :

  • ลดค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม
  • สามารถทำกำไรสูงสุดจากการเติบโตของสินทรัพย์

ข้อเสียของการใช้หลักการ Buy and Hold :

  • อาจพลาดโอกาสในการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของตลาดในระยะสั้น
  • ต้องการความมั่นใจและความอดทนในการถือครองสินทรัพย์

6. Technical Analysis

การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นการใช้ข้อมูลทางสถิติในการวิเคราะห์แนวโน้มของตลาดและการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ กลยุทธ์นี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจในการ Rebalance Portfolio ได้อย่างมีหลักการและเป็นระบบ

ข้อดีของการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค :

  • ช่วยให้การตัดสินใจมีพื้นฐานทางสถิติและข้อมูล
  • ลดความรู้สึกทางอารมณ์ในการตัดสินใจลงทุน

ข้อเสียของการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค :

  • ต้องการความรู้และทักษะในการวิเคราะห์กราฟและข้อมูล
  • สถานการณ์จริงอาจต่างกับสถิติที่เคยเกิดขึ้น

7. Fundamental Analysis

การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานเป็นการศึกษาข้อมูลทางเศรษฐกิจ การเงิน และปัจจัยภายในของสินทรัพย์แต่ละประเภท กลยุทธ์นี้ช่วยให้การ Rebalance Portfolio เป็นไปตามกลไกตลาดอย่างถูกต้อง

ข้อดีของการใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน :

  • ช่วยให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์มูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์
  • โอกาสขาดทุนต่ำกว่ากลยุทธ์อื่นเนื่องจากมีข้อมูลเศรษฐกิจมักมีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำเป็นจำนวนมาก

ข้อเสียของการใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน :

  • ต้องการเวลาและความพยายามในการศึกษาข้อมูลอย่างละเอียด
  • ไม่เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ไม่มีความรู้ทางเศรษฐกิจและการเงิน

8. Risk Analysis

การวิเคราะห์ความเสี่ยงเป็นกลยุทธ์การลงทุนที่จะทำให้นักลงทุนสามารถวิเคราะห์ความเสี่ยงสูงสุดที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยพิจารณาถึงความเสี่ยงแต่ละสินทรัพย์และจัดการสัดส่วนในการลงทุน

ข้อดีของการใช้การวิเคราะห์ความเสี่ยง :

  • ช่วยให้พอร์ตมีความเสี่ยงที่จำกัด ซึ่งวิเคราะห์ล่วงหน้าได้
  • ลดความกังวลในการลงทุนเนื่องจากทราบถึงความเสี่ยงสูงสุดที่อาจเกิดขึ้น

ข้อเสียของการใช้การวิเคราะห์ความเสี่ยง :

  • ต้องพิจารณาความเสี่ยงจากข้อมูลและไม่ใช้อารมณ์ในการวิเคราะห์
  • อาจเสียโอกาสทำกำไรเพิ่มเติมจากสินทรัพย์บางชนิด

 

สรุป

การ Rebalance Portfolio เป็นกระบวนการที่สำคัญในการจัดการพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับเป้าหมายและระดับความเสี่ยงที่ตั้งใจไว้ มีกลยุทธ์จำนวนมากที่นักลงทุนสามารถเลือกใช้และปรับปรุงกับพอร์ตได้ตามความเหมาะสม

การเลือกกลยุทธ์ในการ Rebalance Portfolio ควรพิจารณาตามความเหมาะสมและสถานการณ์ของแต่ละบุคคล นักลงทุนควรมีการติดตามและปรับพอร์ตการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พอร์ตการลงทุนมีความสมดุลและสอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุน การทำ Rebalance Portfolio อย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในระยะยาว ดังนั้น นักลงทุนควรศึกษาข้อมูลและเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมกับตนเองเพื่อเพิ่มโอกาสในการบรรลุเป้าหมายการลงทุนในอนาคต

 

หมายเหตุ

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

 

เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Merkle Capital คือผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานก.ล.ต. บริษัทให้การดูแลและบริหารเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและการบริหารจัดการ