กันยายน 23, 2024
สำหรับคนทำงานโดยเฉพาะในกลุ่มข้าราชการเมื่อใกล้ครบกำหนดอายุราชการจะจำเป็นที่จะต้องเลือกรับสวัสดิการเงินบำนาญ หรือเงินบำเหน็จข้าราชการซึ่งเป็นเหมือนรายได้ที่จะได้ใช้ในยามเกษียณโดยแต่ละแบบก็จะมีข้อดีข้อเสียและเหมาะกับบุคคลแตกต่างกัน
นอกเหนือจากการเป็นข้าราชการในระบบแล้วสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่อยู่ในระบบประกันสังคมก็ยังมีสิทธิที่จะเลือกรับเงินบำนาญหากอยู่ในเงื่อนไขของสำนักงานประกันสังคมโดยจะเรียกว่าเงินชราภาพของประกันสังคม ซึ่งเป็นส่วนที่ถูกสะสมจากการถูกหักค่าประกันสังคมในทุก ๆ เดือนเป็นจำนวนจำนวน 5% ของเงินเดือน (สูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท) ตั้งแต่ 250 – 750 บาท โดยใน 5% นี้จะถูกแบ่งเป็น 3 ส่วน
เงินทุกเดือนที่เราจ่ายประกันสังคม หากเราจ่ายเงินสมทบในอัตราสูงสุดที่ 750 บาทต่อเดือน เงินจำนวน 450 บาทจะถูกหักเข้าไปเป็นเงินออมชราภาพทันที เปรียบเสมือนกองทุนประกันสังคมช่วยทำหน้าที่เก็บออมเงินให้เรา
สาเหตุที่ต้องมีเงินชราภาพก็เพื่อเป็นหลักประกันว่าผู้ประกันตนที่มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์จะได้รับเงินบำเหน็จหรือเงินบำนาญไว้ใช้ยามชราภาพ ซึ่งเป็นสวัสดิการหลังเกษียณอีกรูปแบบหนึ่ง
การวางแผนเงินบำนาญเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการจัดการการเงินในระยะยาว เพื่อให้มีรายได้ที่เพียงพอในวัยเกษียณ การวางแผนที่ดีควรเริ่มต้นตั้งแต่อายุยังน้อยและมีการปรับเปลี่ยนแผนตามสถานการณ์และเป้าหมายชีวิตโดยหลักการแล้วสามารถเริ่มต้นวางแผนการเกษียณโดยใช้ประโยชน์จากเงินบำนาญได้ทั้งข้าราชการและพนักงานบริษัทเอกชนที่อยู่ในระบบประกันสังคมได้ดังนี้
ที่สำคัญเงินได้หลักเกษียณนั้นไม่ได้มีเพียงแค่บำนาญแต่ยังมีบำเหน็จซึ่งมีรายละเอียดแตกต่างกันอย่างมีนัยยะและมีรูปแบบการเตรียมตัวและวางแผนแตกต่างกันโดยเงินบำเหน็จ และเงินบำนาญ สำหรับพนักงานบริษัทที่อยู่ในประกันสังคมมีความแตกต่างกันหลัก ๆ ดังนี้
จริง ๆ แล้ว การจะรับบำเหน็จหรือบำนาญ พนักงานบริษัทที่เป็นผู้ประกันตนไม่สามารถเลือกได้ว่าจะเลือกรับแบบไหนแตกต่างจากระบบข้าราชการ เพราะว่าประกันสังคมใช้เกณฑ์ระยะเวลาการส่งเงินสมทบเป็นตัวตัดสิน คือ
หากให้สรุปว่าเงินบำเหน็จหรือเงินบำนาญสิ่งไหนดีกว่ากัน การตอบคำถามนี้เป็นเรื่องยากเพราะว่าแต่ละคนมีเงื่อนไข ความต้องการรวมถึงความพร้อมในการเกษียณที่แตกต่างกันหากคนที่มีรายได้หลากหลายทางจากธุรกิจส่วนตัว การลงทุนอยู่แล้วการเลือกบำนาญเพื่อรับกระแสเงินสดระยะยาวอาจเป็นรายได้เสริมที่ช่วยในระยะยาวได้แต่หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินก้อนไม่ว่าจะการเริ่มทำธุรกิจหรือลงทุนเพื่อกระแสเงินสดการเลือกบำเหน็จเพื่อรับเงินก้อนอาจเป็นคำตอบที่เหมาะสมมากกว่า สำหรับข้อดีข้อเสียของเงินบำเหน็จและเงินบำนาญสามารถแบ่งออกได้ดังนี้
สิ่งสำคัญในการเลือกรับเงินบำเหน็จหรือเงินบำนาญขึ้นอยู่กับความต้องการและสภาพการเงินของแต่ละบุคคล หากต้องการความยืดหยุ่นในการใช้จ่ายและมีความสามารถในการบริหารเงินก้อนใหญ่ การรับเงินบำเหน็จอาจเป็นตัวเลือกที่ดี แต่ถ้าคุณต้องการความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวและลดความเสี่ยงในการบริหารเงิน การรับเงินบำนาญอาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมมากกว่า
การวางแผนการเงินที่ดีและการทำความเข้าใจข้อดีและข้อเสียของแต่ละประเภทจะช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมาะสมกับสถานการณ์การเงินและเป้าหมายทางการเงินที่ต้องการ
สำหรับพนักงานบริษัทหรือผู้ประกันตนที่อยู่ในประกันสังคม จากข้อมูลของสำนักงานประกันสังคมในประกันสังคมมาตรา 33 เมื่อผู้ประกันตนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง มีสิทธิ์ที่จะยื่นขอรับเงินบำเหน็จ หรือเงินบำนาญชราภาพจากประกันสังคมได้โดยมีเงื่อนไขในการได้รับเงินบำเหน็จหรือเงินบำนาญดังนี้
ดังนั้นเงื่อนไขสำคัญที่จะกำหนดว่าจะได้รับบำเหน็จหรือบำนาญก็คือ “ระยะเวลาที่ส่งเงินสมทบในระบบประกันสังคม” ซึ่งจะมีรายละเอียดปลีกย่อยในการรับเงินออกไปในแต่ละบบ
กรณีบำเหน็จชราภาพสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณี ดังนี้ :
กรณีจ่ายเงินสมทบน้อยกว่า 12 เดือน : ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบเฉพาะส่วนของผู้ประกันตนที่จ่ายให้กับสำนักงานประกันสังคม ไม่รวมส่วนที่นายจ้างจ่ายสมทบ
กรณีจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 180 เดือน : ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบส่วนของผู้ประกันตนและส่วนของนายจ้างที่จ่ายให้กับสำนักงานประกันสังคม รวมทั้งผลประโยชน์ตอบแทนประจำปีทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจำนวนอัตราผลประโยชน์ตอบแทนส่วนนี้จะทำให้เงินบำเหน็จชราภาพแตกต่างกันในแต่ละบุคคล
กรณีบำนาญชราภาพสามารถแบ่งได้เป็น 2 กรณีเช่นกัน :
กรณีจ่ายเงินสมทบมา 180 เดือนพอดี : ผู้ประกันตนจะได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือนตลอดชีวิต คิดเป็นอัตราร้อยละ 20 ของเงินค่าจ้าง (ไม่เกิน 15,000 บาท) เฉลี่ย 60 เดือนสุดท้ายก่อนการสิ้นสุดการเป็นผู้ประกันตน
กรณีจ่ายเงินสมทบเกินกว่า 180 เดือน : อัตราการจ่ายเงินบำนาญจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ของระยะเวลาการจ่ายเงินสมทบทุกๆ 12 เดือนที่จ่ายเกิน
ดังนั้นนาย A จะได้รับเงินบำนาญรายเดือน = 27.5% ของ 15,000 บาท = 4,125 บาท/เดือนจนตลอดชีวิต
สำหรับข้าราชการผู้ที่ไม่ได้เป็นพนักงานบริษัทที่อยู่ในระบบประกันสังคม
กลุ่มนี้จะมีรายละเอียดแตกต่างออกไปโดยที่จะมีสวัสดิการณ์ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ที่เป็นกองทุนที่จัดตั้งขึ้นตามพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2539 มีสถานะเป็นองค์กรของรัฐที่จัดตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ โดยไม่มีสถานะเป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจ ทำหน้าที่เสริมระบบบำเหน็จบำนาญเดิมเพื่อให้เกิดความมั่นคงทางการเงินแก่ข้าราชการเมื่อออกจากราชการโดยมีวัตถุประสงค์
เมื่อข้าราชการออกจากงานจะได้รับเงิน 2 ส่วน คือ
1.เงินบำเหน็จบำนาญ : คำนวณจากเงินงบประมาณ โดยมีสูตรดังนี้
2. เงินก้อนจากกองทุน : ซึ่งประกอบด้วย
ถึงแม้ว่าทั้งพนักงานเอกชนในระบบประกันสังคมและข้าราชการที่มีระบบกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการจะมีแหล่งเงินได้สำหรับใช้ชีวิตยามเกษียณแต่จำนวนเงินที่ได้รับอาจไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิตหลังเกษียณนั้นแล้วสิ่งสำคัญคือการเตรียมวางแผนการเงินตั้งแต่อายุยังน้อยเพราะถึงแม้ว่าจะมีเงินสะสมเพียงพอระดับหนึ่งแล้ว แต่ราคาสินค้าและบริการจะสูงขึ้นตามเงินเฟ้อประกอบกับค่าใช้จ่ายในยามที่อายุมากมีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าดูแลรักษาสุขภาพ การเริ่มต้นออมเงินและลงทุนเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยสนับสนุนและทำให้สามารถใช้ชีวิตเกษียณจากเงินบำเหน็จและเงินบำนาญได้อย่างมีความสุข
คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
Disclaimer