Active Fund คืออะไร ? ไขทุกข้อสงสัยของการลงทุนเชิงรุก

กันยายน 12, 2024

thumbnail

การลงทุนมีหลายรูปแบบ แต่หนึ่งในประเภทที่นักลงทุนมักได้ยินบ่อย ๆ คือ Active Fund หรือการลงทุนเชิงรุก หลายคนอาจสงสัยว่า Active Fund คืออะไร และทำไมมันถึงเป็นที่นิยม บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Active Fund และการลงทุนเชิงรุกในทุกแง่มุม พร้อมทั้งไขข้อสงสัยทั้งหมดที่คุณมีเกี่ยวกับการลงทุนประเภทนี้

 

Active Fund คืออะไร ?

 

Active Fund คืออะไร

 

Active Fund คือการลงทุนเชิงรุกที่ออกโดยธนาคาร บริษัทจัดการกองทุน (Asset Management Companies) หรือสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ที่มีผู้จัดการกองทุน (Fund Manager) ทำหน้าที่บริหารจัดการและตัดสินใจเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ในกองทุน ผู้จัดการกองทุนจะใช้ความรู้และประสบการณ์เพื่อคาดการณ์ทิศทางตลาดและเลือกหลักทรัพย์ที่คาดว่าจะมีผลตอบแทนสูงกว่าตลาดหรือเกณฑ์มาตรฐาน (Benchmark)

 

หลักการทำงานของ Active Fund คือการพยายามสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน โดยการเลือกหลักทรัพย์อย่างมีแบบแผนและการวิเคราะห์ข้อมูลที่ละเอียด ทำให้ผู้ลงทุนต้องเสียค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า Passive Fund เนื่องจากการบริหารจัดการที่ซับซ้อนและต้องการความสามารถเฉพาะตัวของผู้จัดการกองทุน

 

Active Fund เป็นการลงทุนที่มีการจัดการเชิงรุก โดยมีเป้าหมายในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานหรือดัชนีอ้างอิง (Benchmark Index) ผู้จัดการกองทุนจะใช้ความรู้ ความสามารถ และประสบการณ์ในการวิเคราะห์และคัดเลือกหลักทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง มักจะมีการปรับพอร์ตการลงทุนบ่อยครั้ง เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดได้อย่างรวดเร็ว

 

การลงทุนใน Active Fund สามารถทำได้ในหลายสินทรัพย์ เช่น

1. หุ้น (Stocks) : การเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูง ผู้จัดการกองทุนจะวิเคราะห์งบการเงิน ประเมินอัตราส่วนทางการเงิน และพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ที่มีผลต่อการเติบโตของบริษัท

2. ตราสารหนี้ (Bonds) : การลงทุนในตราสารหนี้ของบริษัทหรือรัฐบาล ผู้จัดการกองทุนจะวิเคราะห์ความเสี่ยงของผู้ออกตราสารหนี้ รวมถึงอัตราผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับ

3. สินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investments) : การลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ใช่หุ้นหรือตราสารหนี้ เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ หรือสินทรัพย์ดิจิทัล ผู้จัดการกองทุนจะใช้ความรู้เฉพาะทางในการวิเคราะห์และคัดเลือกสินทรัพย์เหล่านี้

4. อนุพันธ์ (Derivatives) : การลงทุนในสัญญาซื้อขายล่วงหน้า สัญญาออปชั่น หรือสวอป ผู้จัดการกองทุนจะใช้เครื่องมือเหล่านี้ในการบริหารความเสี่ยงหรือเพิ่มผลตอบแทน

ค่าธรรมเนียมของ Active Fund มักจะอยู่ในช่วง 1% - 3% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิในกองทุน (Net Asset Value : NAV) ซึ่งรวมถึงค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) และค่าธรรมเนียมการดำเนินการ (Operating Fee) การเสียค่าธรรมเนียมที่สูงกว่านี้หมายถึงความคาดหวังในการได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด

 

ตัวอย่างของ Active Fund ที่มีชื่อเสียง

1. Fidelity Magellan Fund : หนึ่งในกองทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลก โดยมีการจัดการที่ยอดเยี่ยมจากผู้จัดการกองทุนชื่อดัง Peter Lynch ในช่วงปี 1977-1990 ทำให้กองทุนนี้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง

2. T. Rowe Price Blue Chip Growth Fund : กองทุนนี้มุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูงและเป็นที่รู้จักในวงกว้าง

3. ARK Innovation ETF : กองทุนนี้จัดการโดย ARK Invest ซึ่งมุ่งเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพการเติบโตสูง

 

วิเคราะห์การลงทุนแบบ Active Fund

 

วิเคราะห์การลงทุนแบบ Active Fund

การวิเคราะห์การลงทุนใน กองทุน Active Fund สามารถแบ่งออกเป็นสองประเภทหลัก ๆ ได้แก่ Top-Down Analysis และ Bottom-Up Analysis

Top-Down Analysis

Top-Down Analysis เป็นวิธีการวิเคราะห์ที่เริ่มต้นจากภาพรวมเศรษฐกิจโลกและระดับมหภาค (Macro Level) ลงมาถึงระดับอุตสาหกรรมและบริษัท โดยผู้จัดการกองทุนจะวิเคราะห์ปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีผลต่อการลงทุน เช่น อัตราดอกเบี้ย อัตราเงินเฟ้อ นโยบายการเงินและการคลัง เป็นต้น จากนั้นจึงเลือกอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีการเติบโตที่ดีและเลือกหุ้นหรือหลักทรัพย์ในอุตสาหกรรมนั้น ๆ

 

การวิเคราะห์แบบ Top-Down เริ่มต้นจากการวิเคราะห์ภาพรวมของเศรษฐกิจโลก ผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น นโยบายการเงินที่ออกโดยธนาคารกลาง อัตราดอกเบี้ยที่มีผลต่อการกู้ยืมและการลงทุน อัตราเงินเฟ้อที่มีผลต่อกำลังซื้อของประชาชน และสถานการณ์ทางการเมืองที่อาจมีผลกระทบต่อความมั่นคงและการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ผู้จัดการกองทุนสามารถวิเคราะห์แนวโน้มและทิศทางของตลาดได้

 

หลังจากการวิเคราะห์เศรษฐกิจโลกแล้ว ผู้จัดการกองทุนจะลงลึกไปยังระดับอุตสาหกรรม โดยจะเลือกอุตสาหกรรมที่คาดว่าจะมีการเติบโตที่ดีในอนาคต เช่น อุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่กำลังมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ หรืออุตสาหกรรมสุขภาพที่มีแนวโน้มเติบโตจากความต้องการบริการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้น จากนั้นจึงทำการคัดเลือกบริษัทภายในอุตสาหกรรมนั้น ๆ ที่มีศักยภาพสูงในการเติบโตและสร้างผลตอบแทนที่ดี

 

Bottom-Up Analysis

Bottom-Up Analysis เป็นวิธีการวิเคราะห์ที่เริ่มจากการศึกษาบริษัทแต่ละบริษัทอย่างละเอียด (Micro Level) โดยพิจารณาปัจจัยทางการเงินและปัจจัยเฉพาะตัวของบริษัท เช่น รายได้ กำไร การเติบโตของรายได้ อัตราส่วนทางการเงิน และศักยภาพในการแข่งขัน ผู้จัดการกองทุนจะเลือกลงทุนในบริษัทที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีและคาดว่าจะมีการเติบโตที่สูง

 

การวิเคราะห์แบบ Bottom-Up มุ่งเน้นไปที่การวิเคราะห์รายละเอียดของบริษัทแต่ละแห่ง ผู้จัดการกองทุนจะทำการศึกษางบการเงินของบริษัทเพื่อตรวจสอบความแข็งแกร่งทางการเงิน การประเมินอัตราส่วนทางการเงินต่าง ๆ เช่น อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (Debt-to-Equity Ratio) อัตราส่วนกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) และอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (Return on Investment) นอกจากนี้ยังต้องวิเคราะห์การเติบโตของรายได้และกำไรในอดีต รวมถึงแนวโน้มในอนาคต

 

ผู้จัดการกองทุนยังต้องพิจารณาศักยภาพในการแข่งขันของบริษัทในตลาด การวิเคราะห์นี้รวมถึงการพิจารณาแผนธุรกิจ กลยุทธ์การตลาด ความสามารถในการสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ และความสามารถในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด การวิเคราะห์ลักษณะนี้ช่วยให้ผู้จัดการกองทุนสามารถคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้

 

การผสมผสานวิธีการวิเคราะห์

ทั้งสองวิธีการวิเคราะห์นี้มีความสำคัญในการบริหารจัดการ Active Fund ผู้จัดการกองทุนอาจใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือผสมผสานทั้งสองวิธีเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดตามเป้าหมายการลงทุน การใช้วิธีการวิเคราะห์แบบ Top-Down ช่วยให้ผู้จัดการกองทุนสามารถมองเห็นภาพรวมของตลาดและแนวโน้มทางเศรษฐกิจ ในขณะที่การใช้วิธีการวิเคราะห์แบบ Bottom-Up ช่วยให้สามารถคัดเลือกหุ้นที่มีศักยภาพสูงจากการวิเคราะห์ปัจจัยเฉพาะตัวของบริษัท

 

ข้อดี-ข้อเสียของ Active Fund มีอะไรบ้าง ?

 

ข้อดี-ข้อเสียของ Active Fund มีอะไรบ้าง

 

การลงทุนใน Active Fund มีข้อดีและข้อเสียที่นักลงทุนควรพิจารณา ดังนี้

ข้อดีของ กองทุน Active Fund :

1. ผลตอบแทนที่สูงกว่า ด้วยการจัดการที่มีความเชี่ยวชาญ ผู้จัดการกองทุนมีโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานหรือ Passive Fund โดยการเลือกลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ที่คาดว่าจะมีการเติบโตที่ดี การทำงานนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการวิเคราะห์และการตัดสินใจที่แม่นยำของผู้จัดการกองทุน ผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญสามารถเลือกหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตสูง และสามารถใช้ข้อมูลและการวิเคราะห์เชิงลึกเพื่อคาดการณ์แนวโน้มของตลาดได้อย่างถูกต้อง

 

2. การจัดการเชิงรุก Active Fund มีการจัดการที่สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้ทันที เช่น เมื่อเห็นสัญญาณทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลง ผู้จัดการกองทุนสามารถปรับพอร์ตการลงทุนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้ทันที เพื่อป้องกันความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน การปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วนี้ทำให้ Active Fund สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น ภาวะวิกฤตเศรษฐกิจหรือการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองได้ดีกว่าการลงทุนแบบ Passive Fund

 

3. การวิเคราะห์เชิงลึก การลงทุนใน Active Fund ได้รับการวิเคราะห์เชิงลึกจากผู้จัดการกองทุน ซึ่งสามารถระบุโอกาสการลงทุนที่มีศักยภาพสูง ทั้งจากการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของบริษัทต่าง ๆ และการติดตามแนวโน้มทางเศรษฐกิจ ทำให้สามารถเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีโอกาสเติบโตได้ดี ผู้จัดการกองทุนจะทำการวิจัยและวิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อตรวจสอบความมั่นคงทางการเงินของบริษัท วิเคราะห์การเติบโตของรายได้และกำไร รวมถึงการศึกษาผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจมีผลต่อการดำเนินงานของบริษัท

 

4. การใช้เครื่องมือการลงทุนที่หลากหลาย ผู้จัดการกองทุนสามารถใช้เครื่องมือการลงทุนที่หลากหลายเพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทน เช่น การขายชอร์ต (Short Selling) ที่ช่วยสร้างกำไรในตลาดขาลง การใช้อนุพันธ์ (Derivatives) เพื่อบริหารความเสี่ยง หรือการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก (Alternative Investments) เช่น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำ หรือสินทรัพย์ดิจิทัล การใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ผู้จัดการกองทุนสามารถสร้างผลตอบแทนที่สูงขึ้นและบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ข้อเสียของ กองทุน active fund

1. ค่าธรรมเนียมสูง Active Fund มีค่าธรรมเนียมการจัดการและค่าธรรมเนียมการดำเนินการที่สูงกว่า Passive Fund เนื่องจากการบริหารจัดการที่ซับซ้อนและต้องการความสามารถเฉพาะตัวของผู้จัดการกองทุน ค่าธรรมเนียมที่สูงนี้อาจลดทอนผลตอบแทนที่นักลงทุนได้รับ ค่าธรรมเนียมที่สูงอาจรวมถึงค่าธรรมเนียมการจัดการ (Management Fee) ค่าธรรมเนียมการดำเนินการ (Operating Fee) และค่าธรรมเนียมผลตอบแทน (Performance Fee) ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน

 

2. ความเสี่ยงจากการจัดการ การลงทุนใน Active Fund ขึ้นอยู่กับความสามารถและการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งอาจมีความเสี่ยงหากการตัดสินใจไม่ถูกต้อง หากผู้จัดการกองทุนตัดสินใจผิดพลาด อาจทำให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาดหรือติดลบได้ ความสามารถในการเลือกหลักทรัพย์ที่ดีและการตัดสินใจทางกลยุทธ์เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลตอบแทนของกองทุน หากผู้จัดการกองทุนไม่มีประสบการณ์หรือขาดทักษะในการวิเคราะห์ อาจส่งผลให้การลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

 

3. ความผันผวนสูง เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามสภาวะตลาด Active Fund อาจมีความผันผวนสูงกว่าการลงทุนแบบ Passive การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของตลาดอาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าของกองทุนได้อย่างมาก การลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงอาจทำให้เกิดความผันผวนในมูลค่าการลงทุน และอาจส่งผลให้ผลตอบแทนของกองทุนมีความไม่แน่นอน

 

4. ผลตอบแทนไม่แน่นอน แม้ว่าผู้จัดการกองทุนจะมีความเชี่ยวชาญ แต่ผลตอบแทนที่ได้รับอาจไม่แน่นอนและไม่สามารถคาดการณ์ได้เสมอไป การลงทุนใน Active Fund จึงมีความเสี่ยงที่ผลตอบแทนจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ผลตอบแทนที่ไม่แน่นอนนี้อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของตลาด การตัดสินใจลงทุนที่ผิดพลาด หรือปัจจัยภายนอกที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของบริษัทที่ลงทุน

 

5. ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุน การลงทุนใน Active Fund ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งหากมีการตัดสินใจที่ไม่ถูกต้อง อาจทำให้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่คาดหวัง ความสามารถในการเลือกหลักทรัพย์ที่ดีและการตัดสินใจทางกลยุทธ์เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อผลตอบแทนของกองทุน การตัดสินใจที่ไม่ดีหรือการเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้กองทุนไม่สามารถบรรลุเป้าหมายการลงทุนได้

 

การลงทุนใน Active Fund นั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย นักลงทุนควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน โดยพิจารณาจากเป้าหมายการลงทุน ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ และระยะเวลาที่สามารถลงทุนได้ การทำความเข้าใจในลักษณะของ Active Fund และการบริหารจัดการของผู้จัดการกองทุนจะช่วยให้นักลงทุนสามารถตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูลและมั่นใจมากขึ้น

 

Active Fund เหมาะกับคุณหรือไม่ ?

การลงทุนใน Active Fund อาจไม่เหมาะสมสำหรับทุกคน เนื่องจากมีความซับซ้อนและต้องการการติดตามและการจัดการที่มีความเชี่ยวชาญ นี่คือประเภทของนักลงทุนที่อาจเหมาะกับการลงทุนใน Active Fund

1. นักลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์ : ผู้ที่มีความเข้าใจในตลาดการเงินและสามารถประเมินความเสี่ยงของการลงทุนเชิงรุกได้เป็นอย่างดี นักลงทุนกลุ่มนี้มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการวิเคราะห์หลักทรัพย์ การติดตามข่าวสารทางเศรษฐกิจและการเงิน รวมถึงการใช้เครื่องมือการลงทุนต่าง ๆ เช่น อนุพันธ์และตราสารหนี้ ความสามารถในการประเมินสถานการณ์ตลาดและทำการตัดสินใจอย่างชาญฉลาดเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนใน Active Fund

 

2. ผู้ที่มองหาผลตอบแทนสูง : นักลงทุนที่ยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้นเพื่อโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาด นักลงทุนกลุ่มนี้มีความคาดหวังในการสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าเกณฑ์มาตรฐาน และพร้อมรับความผันผวนของตลาด การลงทุนใน Active Fund อาจตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ตลาดมีความไม่แน่นอนและมีโอกาสในการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคา

 

3. ผู้ที่มีเวลาและทรัพยากรในการติดตามการลงทุน : การลงทุนใน Active Fund ต้องการการติดตามและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนอย่างสม่ำเสมอ นักลงทุนที่สามารถอุทิศเวลาในการศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ตลาด และติดตามการดำเนินงานของกองทุนอย่างใกล้ชิดจะมีโอกาสในการบริหารความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนได้ดีขึ้น นอกจากนี้ นักลงทุนควรมีทรัพยากรทางการเงินที่เพียงพอในการรองรับค่าธรรมเนียมการจัดการที่สูงขึ้น

 

การพิจารณาว่า Active Fund เหมาะสมกับคุณหรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้

1. เป้าหมายการลงทุน : นักลงทุนควรพิจารณาว่าเป้าหมายการลงทุนของตนเองคืออะไร หากเป้าหมายคือการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดและสามารถรับความเสี่ยงได้ การลงทุนใน Active Fund อาจเป็นทางเลือกที่ดี อย่างไรก็ตาม หากเป้าหมายคือการรักษาเงินทุนและลดความเสี่ยง การลงทุนในกองทุนแบบ Passive Fund อาจเหมาะสมกว่า

 

2. ความสามารถในการรับความเสี่ยง : การลงทุนใน Active Fund มีความเสี่ยงที่สูงกว่าการลงทุนแบบ Passive Fund เนื่องจากมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนและมีความผันผวนของตลาด นักลงทุนควรพิจารณาว่าตนเองสามารถรับความเสี่ยงนี้ได้หรือไม่ หากไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ การลงทุนใน Active Fund อาจไม่เหมาะสม

 

3. ทรัพยากรที่มีในการบริหารจัดการการลงทุน : การลงทุนใน Active Fund ต้องการการติดตามและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนอย่างสม่ำเสมอ นักลงทุนที่มีเวลาและทรัพยากรในการติดตามการลงทุนอย่างใกล้ชิดจะสามารถบริหารความเสี่ยงและเพิ่มผลตอบแทนได้ดีขึ้น หากไม่มีเวลาและทรัพยากรเพียงพอ การลงทุนใน Active Fund อาจไม่เหมาะสม

 

4. ความมั่นใจในผู้จัดการกองทุน : การลงทุนใน Active Fund ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้จัดการกองทุน นักลงทุนควรทำการวิจัยและเลือกกองทุนที่มีผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์และมีประวัติการทำงานที่ดี การตรวจสอบผลงานที่ผ่านมาและการสัมภาษณ์ผู้จัดการกองทุนจะช่วยให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการตัดสินใจลงทุน

 

หมายเหตุ

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Merkle Capital คือผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานก.ล.ต. บริษัทให้การดูแลและบริหารเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและการบริหารจัดการ