Blockchain Infrastructure คืออะไร จะเข้ามามีบทบาทอย่างไรในโลก Digital Assets

ตุลาคม 29, 2024

thumbnail

Blockchain Infrastructure คืออะไร


Blockchain Infrastructure คืออะไร

Blockchain Infrastructure คือบริษัทหรือองค์กรที่ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ถ้าในโลกคริปโตฯ คือองค์กรที่ให้บริการเกี่ยวกับการทำงานของระบบบล็อกเชนและสกุลเงินดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้รวมถึงการจัดหาเครือข่ายที่มั่นคงและปลอดภัย การให้บริการการจัดเก็บและการเข้าถึงข้อมูล การจัดการโหนด (Node Management) การสนับสนุนการทำธุรกรรม และการพัฒนาสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) รวมถึงการสร้างและรักษาสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างและเปิดตัวแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Applications หรือ DApps) ได้

อาจจะยังไม่เข้าใจความหมายที่เป็นศัพท์เทคนิค เรามายกตัวอย่างกันง่าย ๆ ให้เข้าใจกันดีกว่า Blockchain Infrastructure คือทุกอย่างที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานในโลกการเงินแบบดั้งเดิมจะถูกยกขึ้นมาบนโลกบล็อกเชนหรือโลก Web3.0 ทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น ธนาคารที่ทำหน้าที่ปล่อยกู้ก็จะถูกแทนที่ด้วย Lending Protocal อย่าง Aave กระดานเทรดหรือตัวกลางค่อยส่งคำสั่งซื้อและขายอย่างโบรกเกอร์ ก็จะถูกแทนที่ด้วยสัญญาอัจฉริยะหรือ Swap Prptocal อย่าง Uniswap และให้เราสามารถเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลได้ด้วยตนเอง แต่เบื้องหลังถูกจัดสรรทรัพยากรที่ทำให้การทำงานอะไรต่าง ๆ เป็นไปได้ด้วยโหนด สัญญาอัจฉริยะต่าง ๆ

โลกการเงินแบบดั้งเดิมและโลกดิจิทัลมีลักษณะและแนวทางที่แตกต่างกันในการจัดการและดำเนินธุรกรรมทางการเงิน นี่คือการเปรียบเทียบที่ชัดเจนระหว่างสองโลกนี้ : 

โลกการเงินแบบดั้งเดิม 

  • โครงสร้างพื้นฐานและสถาบัน : โลกการเงินแบบดั้งเดิมพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานและสถาบันทางการเงินเช่น ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารกลาง สถาบันการเงินและตลาดหลักทรัพย์ การดำเนินงานต้องอาศัยความเชื่อถือในองค์กรเหล่านี้ 
  • การกำกับดูแลและกฎระเบียบ : การทำธุรกรรมและการดำเนินงานอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและกฎระเบียบจากหน่วยงานรัฐบาลและองค์กรกำกับดูแลทางการเงินที่เข้มงวด เพื่อป้องกันการทุจริตและรักษาเสถียรภาพทางการเงิน 
  • ธุรกรรมและการชำระเงิน : การทำธุรกรรมทางการเงินมักต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนและใช้เวลานาน เช่น การโอนเงินระหว่างประเทศที่อาจใช้เวลาหลายวัน 
  • การเข้าถึง : บริการทางการเงินในโลกดั้งเดิมอาจไม่สามารถเข้าถึงได้สำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนในพื้นที่ห่างไกลหรือที่มีการเข้าถึงเทคโนโลยีจำกัด 
  • ความโปร่งใสและการตรวจสอบ : ธุรกรรมและการดำเนินงานในโลกดั้งเดิมมีความโปร่งใส แต่การตรวจสอบต้องผ่านกระบวนการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

โลกการเงินดิจิทัล 

  • เทคโนโลยีและนวัตกรรม : โลกการเงินดิจิทัลพึ่งพาเทคโนโลยีบล็อกเชนและสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin Ethereum การทำธุรกรรมผ่านเครือข่ายแบบกระจาย (Decentralized Network) โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง 
  • การกำกับดูแลและกฎระเบียบ : แม้ว่าจะมีการกำกับดูแลบางส่วนจากหน่วยงานรัฐ แต่การกำกับดูแลในโลกคริปโตฯ ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 
  • ธุรกรรมและการชำระเงิน : การทำธุรกรรมในโลกดิจิทัลมักเกิดขึ้นทันทีและมีค่าธรรมเนียมต่ำ เช่น การโอนเงินระหว่างประเทศผ่าน Bitcoin หรือ Stablecoin ที่ใช้เวลาไม่กี่นาที 
  • การเข้าถึง : โลกดิจิทัลเปิดโอกาสให้ทุกคนที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก 
  • ความโปร่งใสและการตรวจสอบ : การทำธุรกรรมในโลกดิจิทัลสามารถตรวจสอบได้อย่างโปร่งใสบนบล็อกเชน ซึ่งทุกธุรกรรมถูกบันทึกอย่างถาวรและเปิดเผยต่อสาธารณะ

จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันระหว่างโลกการเงินแบบดั้งเดิมและโลกการเงินแบบดิจิทัล ซึ่งโลกการเงินแบบดั้งเดิมยังต้องการตัวกลางอยู่ ในขณะที่โลกดิจิทัลไม่ต้องการตัวกลางเลย แต่ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย โลกแห่งตัวกลางไม่ได้ดีสำหรับทุกคน และโลกที่ไม่มีตัวกลางเลยก็ไม่ได้ดีสำหรับทุกคน จึงเกิดการควบรวมกันระหว่าง Infrastructure ของโลกดิจิทัลและตัวกลางในโลกการเงินแบบดั้งเดิม โดยยังมีการกำกับดูแลจากตัวกลางที่น่าเชื่อถูกอยู่แต่ถูกลดลงในบางส่วน และแทนที่โดย Infrastructure ของบล็อกเชน

 

Blockchain Infrastructure ทำอะไร


Blockchain Infrastructure ทำอะไร

จากที่กล่าวไปข้างต้นว่ามีการควบรวมกันระหว่างโลกการเงินแบบดั้งเดิมและโลกคริปโตฯ หน้าที่ของ Blockchain Infrastructure คือคนกลางที่เข้ามาดูแลการควบรวมระหว่างทั้งสองโลก ซึ่ง Infrastructure เหล่านี้ในมุมมองของนักลงทุนอย่างเรา ๆ ถือว่าได้เป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกการลงทุนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เพราะเป็นการเปิดสิ่งใหม่ ๆ ที่โลกการลงทุนแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำได้

  • ความปลอดภัยในการรักษาสินทรัพย์ (Security) : ความปลอดภัยในการเก็บข้อมูลจากการมี Cryptography Hash Function หรือการเข้ารหัสต่าง ๆ ของบล็อกเชนและการเก็บข้อมูลที่เรียงต่อกัน ทำให้ไม่สามารแก้ไขข้อมูลย้อนหลังบนบล็อกเชนได้
  • ความสามารถในการกระจายศูนย์ (Decentralization) : ความสามารถในการกระจายศูนย์ หรือความสามารถในการกระจายสิทธิในการดูแลระบบให้กับหลาย ๆ คน ทำให้เกิด Consensus Mechanism ที่เป็นหัวใจหลักที่ทำให้บล็อกเชนแตกต่างจากการเก็บข้อมูลแบบปกติ
  • ความสามารถในการเข้าร่วม (Openness & World Wide) : ความสามารถในการเข้าร่วม สินทรัพย์ดิจิทัลมีสามารถเข้าถึงได้จากคนทั่วทุกมุมโลกเหมือนกับอินเทอร์เน็ตที่ใครที่ไหนในโลกนี้ก็เข้าถึงได้
  • ความสามารถในการแบ่งย่อยสินทรัพย์ดิจิทัล (Fractional) : ความสามารถในการแบ่งย่อยสินทรัพย์ดิจิทัล ในสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถแบ่งย่อยออกเป็นหน่วยที่ตำ่กว่า 1 ได้ สามารถทำได้มากสุดถึง 16 หลักใน Ethereum

โดยสรุป Blockchain Infrastructure ทำหน้าที่เป็นคนกลางในการควบรวมโลกการเงินดั้งเดิมและคริปโตฯ เข้าด้วยกัน โดยมีบทบาทสำคัญในการรักษาความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัสบล็อกเชน การกระจายศูนย์ผ่าน Consensus Mechanism การเข้าถึงทั่วโลก และการแบ่งย่อยสินทรัพย์ดิจิทัล เช่น Ethereum ที่แบ่งหน่วยได้ถึง 16 หลัก

 

ข้อดีของ Blockchain Infrastructure

โดยปกติโลกการเงินแบบดั้งเดิมจะดึงศักยภาพออกมาใช้ได้ไม่ถึงที่สุด แต่การรวมกันระหว่างโลกการเงินแบบดั้งเดิมและโลกคริปโตฯ ทำให้สิ่งเหล่านี้ถูกดึงออกมาใช้และเกิดประโยชน์สูงสุด แต่การใช้บล็อกเชนก็โดยตรงอย่างเดียวก็เกิดปัญหาสำหรับคนบางกลุ่มที่ไม่เชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีมาก Blockchain Infrastructure เลยเข้ามาดูแลในส่วนนี้แทน


Blockchain Infrastructure

ความปลอดภัยในการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัล

ในการเก็บรักษาความปลอดภัยของสินทรัพย์ในโลกบล็อกเชน ต้องใช้ความรู้มากในการระมัดระวังตัว การเชื่อมต่อสัญญาอัจฉริยะมั่ว อาจทำให้สูญเสียสินทรัพย์ทั้งหมดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ไม่ได้มีหน่วยงานดูแลคริปโตฯ แบบโดยตรง ต้องยืมให้คนอื่นช่วยดูแลคริปโตฯ ให้ ว่าง่าย ๆ คือกลุ่มคนที่มองหาคนอื่นมาดูแลในส่วนนี้แทนตนเองที่ไม่มีเวลาดูนั่นเอง

เพิ่มโอกาสในการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล

การเข้ามาลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลเองไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องการความรู้ทางเทคโนโลยีค่อนข้างมาก ซึ่งในอนาคตที่มีการให้ความรู้ที่เหมาะสมทุกคนจะสามารถเข้าถึงคริปโตฯ ได้อย่างง่าย แต่ในปัจจุบันที่ทางหน่วยงานกำกับดูแลยังไม่ออกกฏดูแลอย่างครอบคลุม ทำให้ยังไม่มีใครกล้าทำอะไรมาก พร้อมทั้งความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ยังคงซับซ้อนและไม่ค่อยเห็นภาพนัก ดังนั้นในช่วงนี้ Blockchain Infrastructure ถึงเข้ามาดูแลในส่วนนี้แทนนักลงทุนที่ไม่มีเวลา

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกองทุนบล็อกเชนต่าง ๆ ที่ทางธนาคารเสนอ กอง Fund Manager ต่าง ๆ และล่าสุด ETFs ที่ออกโดยฝั่งสหรัฐอเมริกาที่ทำให้การเข้ามาลงทุนในโลกสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป โดยมีทั้ง Bitcoin ETF ที่อนุมัติไปแล้ว และ Etheruem ETF ที่กำลังรอตัวเต็มอนุมัติ ผลิตภัณฑ์การลงทุนเหล่านี้ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงสินทรัพย์ดิทัลได้ง่ายขึ้นและเป็นการเพิ่มโอกาสในการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล

ทำให้เงินดิจิทัลใช้งานได้กว้างขวาง

ในส่วนนี้มีทั้งการเข้ามาของฝั่งธนาคารกลางและฝั่งเอกชน ในฝั่งธนาคารกลางได้มีการพัฒนา Central Bank Digital Currency ขึ้นมาก่อน ในขั้นต้นได้สร้าง Wholesale CBDC ขึ้นมาใช้กันเองระหว่างธนาคารเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการโอนเงินระหว่างประเทศ ต่อมาได้มีความพยายามในการพัฒนา Retail CBDC เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับประชาชนให้ใช้งานกัน แต่รูปร่างยังไม่ชัดเจนนักในตอนนี้ เลยยังไม่มีภาพให้อธิบายมาก แต่ทางนักวิเคราะห์คิดว่าน่าจะเหมือนกับการใช้งานบล็อกเชน แบบ On-chain แต่ในส่วนของนักพัฒนาและผู้เข้ามาใช้งานต้องมีการ KYC ให้เรียบร้อย

ในทางของภาคเอกชนได้มีการสร้าง Stable Coin ขึ้นมา โดย Stable Coin คือสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกออกแบบมาเพื่อรักษามูลค่าให้คงที่ โดยผูกค่าไว้กับสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ทองคำ หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ จุดประสงค์หลักของ Stable Coin คือการลดความผันผวนของราคา ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในสกุลเงินดิจิทัลทั่วไป เช่น Bitcoin หรือ Ethereum ซึ่ง Stable Coin ถูกสร้างเพื่อเป็นตัวกลางในการนำเงินเข้า (Ramp-in) และพักเงินสำหรับนักลงทุน และในบางประเทศหรือบางคนที่ต้องการถือเงินสกุลสหรัฐอเมริกา การถือ Stable Coin เพื่อกระจายความเสี่ยงหรือป้องกันความเสี่ยงจากการเสื่อมค่าของเงินสกุลต้นทาง ก็เป็นตัวเลือกที่ดี

ตัวอย่างของ Stable Coin ทางฝั่งเอกชนคือ Tether และ Circle ที่สร้างเหรียญ USDT และ USDC ขึ้นมาโดยผูกกับสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ เช่น 1 Stablecoin = 1 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นประเภท Fiat-collateralized Stablecoin หรือ Stablecoin ที่มีการค้ำประกันด้วยเงินสดหรือสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเทียบเท่า ในส่วน Stable Coin รูปแบบอื่น ๆ ยังไม่ได้ถูกกำกับดูแลนักและไม่ได้มีสัดส่วนที่ใหญ่ในตลาด

 

ลงทุนใน Blockchain Infrastructure ด้วยกลยุทธ์ M-BLOCK ของ Merkle Capital


กลยุทธ์ M-BLOCK

การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีที่มีอนาคตและมีการใช้งานจริงมีข้อดีมากมาย เช่น ความเสถียรและความมั่นคง ความเสี่ยงที่ต่ำกว่า การยอมรับในวงกว้าง โอกาสในการเติบโตและพัฒนา และการเข้าถึงข้อมูลและการวิเคราะห์ที่ดีกว่า ทั้งนี้นักลงทุนควรพิจารณาความเหมาะสมและความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ในการลงทุน อย่างไรก็ตามโลกคริปโตเคอร์เรนซีเปลี่ยนไปเร็วมาก ๆ ต้องติดตามตลาดตลอดเวลา คอยหาความรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ และอัพเดทเทรนคริปโตฯ อยู่เสมอ ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรเวลาเป็นอย่างมาก ทาง Merkle Capital เลยเข้ามาแก้ไขปัญหาจุดนั้นโดยเสนอกองทุน คริปโตเคอร์เรนซีที่ลงทุนเฉพาะ Blockchain Infrastructure ให้นักลงทุนได้เข้าถึงกันอย่างง่ายดาย

 

สรุป

Blockchain Infrastructure มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงโลกการเงินแบบดั้งเดิมและโลกคริปโตฯ โดยทำหน้าที่ดูแลการควบรวมทั้งสองโลกเข้าด้วยกัน พวกเขาจัดหาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ความปลอดภัยในการรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยการเข้ารหัส Cryptography Hash Function และการจัดการโหนดแบบกระจายศูนย์ (Decentralization) นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงและใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างง่ายดาย ทั้งมีการแบ่งย่อยสินทรัพย์ดิจิทัล (Fractionalization) ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการลงทุน และทำให้เงินดิจิทัลใช้งานได้กว้างขวาง ตัวอย่างเช่น การสร้าง Stable Coin ที่มีมูลค่าคงที่เพื่อใช้ในการทำธุรกรรมและการเก็บรักษามูลค่า การพัฒนากองทุนบล็อกเชนและ ETFs ที่ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเรื่องง่ายและปลอดภัยมากขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมให้เงินดิจิทัลสามารถใช้งานได้อย่างกว้างขวางในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการพัฒนา Central Bank Digital Currency (CBDC) และผลิตภัณฑ์การเงินดิจิทัลอื่น ๆ ที่เป็นนวัตกรรมในการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกรรมทางการเงินในยุคดิจิทัล

 

หมายเหตุ

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

 

เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Merkle Capital คือผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานก.ล.ต. บริษัทให้การดูแลและบริหารเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและการบริหารจัดการ