รู้จัก Infrastructure Provider

มิถุนายน 26, 2024

thumbnail

Infrastructure คืออะไร ?

 

Infrastructure คืออะไร

 

Infrastructure Provider คือบริษัทหรือองค์กรที่ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น ถ้าในโลกคริปโตฯ คือองค์กรที่ให้บริการเกี่ยวกับการทำงานของระบบบล็อกเชนและสกุลเงินดิจิทัล โครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้รวมถึงการจัดหาเครือข่ายที่มั่นคงและปลอดภัย การให้บริการการจัดเก็บและการเข้าถึงข้อมูล การจัดการโหนด (Node Management) การสนับสนุนการทำธุรกรรม และการพัฒนาสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) รวมถึงการสร้างและรักษาสภาพแวดล้อมที่ช่วยให้นักพัฒนาสามารถสร้างและเปิดตัวแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ (Decentralized Applications หรือ DApps) ได้

 

อาจจะยังไม่เข้าใจความหมายที่เป็นศัพท์เทคนิค เรามายกตัวอย่างกันง่าย ๆ ให้เข้าใจกันดีกว่า Infrastructure Provider คือทุกอย่างที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานในโลกการเงินแบบดั้งเดิมจะถูกยกขึ้นมาบนโลกบล็อกเชนหรือโลก Web3.0 ทั้งหมด ยกตัวอย่างเชนธนาคารที่ทำหน้าที่ปล่อยกู้ก็จะถูกแทนที่ด้วย Lending Protocal อย่าง Aave กระดานเทรดหรือตัวกลางค่อยส่งคำสั่งซื้อและขายอย่างโบรกเกอร์ ก็จะถูกแทนที่ด้วยสัญญาอัจฉริยะหรือ Swap Prptocal อย่าง Uniswap และให้เราสามารถเก็บสินทรัพย์ดิจิทัลได้ด้วยตนเอง แต่เบื้องหลังถูกจัดสรรทรัพยากรที่ทำให้การทำงานอะไรต่าง ๆ เป็นไปได้ด้วยโหนด สัญญาอัจฉริยะต่าง ๆ

 

โลกการเงินแบบดั้งเดิมและโลกดิจิทัลมีลักษณะและแนวทางที่แตกต่างกันในการจัดการและดำเนินธุรกรรมทางการเงิน นี่คือการเปรียบเทียบที่ชัดเจนระหว่างสองโลกนี้: 

 

โลกการเงินแบบดั้งเดิม 

  • โครงสร้างพื้นฐานและสถาบัน: โลกการเงินแบบดั้งเดิมพึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานและสถาบันทางการเงินเช่น ธนาคารพาณิชย์, ธนาคารกลาง, สถาบันการเงินและตลาดหลักทรัพย์ การดำเนินงานต้องอาศัยความเชื่อถือในองค์กรเหล่านี้ 
  •  

  • การกำกับดูแลและกฎระเบียบ: การทำธุรกรรมและการดำเนินงานอยู่ภายใต้การกำกับดูแลและกฎระเบียบจากหน่วยงานรัฐบาลและองค์กรกำกับดูแลทางการเงินที่เข้มงวด เพื่อป้องกันการทุจริตและรักษาเสถียรภาพทางการเงิน 
  •  

  • ธุรกรรมและการชำระเงิน: การทำธุรกรรมทางการเงินมักต้องผ่านกระบวนการหลายขั้นตอนและใช้เวลานาน เช่น การโอนเงินระหว่างประเทศที่อาจใช้เวลาหลายวัน 
  •  

  • การเข้าถึง: บริการทางการเงินในโลกดั้งเดิมอาจไม่สามารถเข้าถึงได้สำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนในพื้นที่ห่างไกลหรือที่มีการเข้าถึงเทคโนโลยีจำกัด 
  •  

  • ความโปร่งใสและการตรวจสอบ: ธุรกรรมและการดำเนินงานในโลกดั้งเดิมมีความโปร่งใส แต่การตรวจสอบต้องผ่านกระบวนการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

 

โลกการเงินดิจิทัล 

  • เทคโนโลยีและนวัตกรรม: โลกการเงินดิจิทัลพึ่งพาเทคโนโลยีบล็อกเชนและสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitcoin, Ethereum การทำธุรกรรมผ่านเครือข่ายแบบกระจาย (Decentralized Network) โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง 
  •  

  • การกำกับดูแลและกฎระเบียบ: แม้ว่าจะมีการกำกับดูแลบางส่วนจากหน่วยงานรัฐ แต่การกำกับดูแลในโลกคริปโตฯ ยังคงเป็นประเด็นที่ถกเถียงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 
  •  

  • ธุรกรรมและการชำระเงิน: การทำธุรกรรมในโลกดิจิทัลมักเกิดขึ้นทันทีและมีค่าธรรมเนียมต่ำ เช่น การโอนเงินระหว่างประเทศผ่าน Bitcoin หรือ Stablecoin ที่ใช้เวลาไม่กี่นาที 
  •  

  • การเข้าถึง: โลกดิจิทัลเปิดโอกาสให้ทุกคนที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสามารถเข้าถึงบริการทางการเงินได้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก 
  •  

  • ความโปร่งใสและการตรวจสอบ: การทำธุรกรรมในโลกดิจิทัลสามารถตรวจสอบได้อย่างโปร่งใสบนบล็อกเชน ซึ่งทุกธุรกรรมถูกบันทึกอย่างถาวรและเปิดเผยต่อสาธารณะ

 

จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกันระหว่างโลกการเงินแบบดั้งเดิมและโลกการเงินแบบดิจิทัล ซึ่งโลกการเงินแบบดั้งเดิมยังต้องการตวกลางอยู่แต่โลกดิจิทัลไม่ต้องการตัวกลางเลย แต่ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย โลกแห่งตัวกลางไม่ได้ดีสำหรับทุกคน และโลกที่ไม่มีตัวกลางเลยก็ไม่ได้ดีสำหรับทุกคน เลยเกิดการควบรวมกันระหว่าง Infrastructure ของโลกดิจิทัลและตัวกลางในโลกการเงินแบบดั้งเดิม โดยยังมีการกำกับดูแลจากตัวกลางที่น่าเชื่อถูกอยู่แต่ถูกลดลงในบางส่วน และแทนที่โดย Infrastructure ของบล็อกเชน

 

บทบาทของ Infrastructure

 

บทบาทของ Infrastructure

 

จากที่กล่าวไปข้างต้นว่ามีการควบรวมกันระหว่างโลกการเงินแบบดั้งเดิมและโลกคริปโตฯ หน้าที่ของ Infrastructure Provider คือคนกลางที่เข้ามาดูแลการควบรวมระหว่างทั้งสองโลก ซึ่ง Infrastructure เหล่านี้ในมุมมองของนักลงทุนอย่างเราๆ ถือว่าได้เป็นนวัตกรรมที่เปลี่ยนแปลงโลกการลงทุนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลย เพราะเป็นการเปิดสิ่งใหม่ ๆ ที่โลกการลงทุนแบบดั้งเดิมไม่สามารถทำได้

 

  • ความปลอดภัยในการรักษาสินทรัพย์ (Security): ความปลอดภัยในการเก็บข้อมูลจากการมี Cryptography Hash Function หรือการเข้ารหัสต่าง ๆ ข้องบล็อกเชนและการเก็บข้อมูลที่เรียงต่อกัน ทำให้ไม่สามารแก้ไขข้อมูลย้อนหลังบนบล็อกเชนได้
  •  

  • ความสามารถในการกระจายศูนย์ (Decentralization): ความสามารถในการกระจายศูนย์ หรือความสามารถในการกระจายสิทธิในการดูแลระบบให้กับหลายๆ คน ทำให้เกิด Consensus Mechanism ที่เป็นหัวใจหลักที่ทำให้บล็อกเชนแตกต่างจากการเก็บข้อมูลแบบปกติ
  •  

  • ความสามารถในการเข้าร่วม (Openness & World Wide) : ความสามารถในการเข้าร่วม สินทรัพย์ดิจิทัลมีสามารถเข้าถึงได้จากคนทั่วทุกมุมโลกเหมือนกับอินเทอร์เน็ตที่ใครที่ไหนในโลกนี้ก็เข้าถึงได้
  •  

  • ความสามารถในการแบ่งย่อยสินทรัพย์ดิจิทัล (Fractional) : ความสามารถในการแบ่งย่อยสินทรัพย์ดิจิทัล ในสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถแบ่งย่อยออกเป็นหน่วยที่ตำ่กว่า 1 ได้ สามารถทำได้มากสุดถึง 16 หลักใน Ethereum

 

สิ่งเหล่านี้จะโดยปกติโลกการเงินแบบดั้งเดิมดึงศักยภาพออกมาใช้ได้ไม่ถึงที่สุด แต่การรวมกันระหว่างโลกการเงินแบบดั้งเดิมและโลกคริปโตทำให้สิ่งเหล่านี้ถูกดึงออกมาใช้และเกิดประโยชน์สูงสุด แต่การใช้บล็อกเชนก็โดยตรงอย่างเดียวก็เกิดปัญหาสำหรับคนบางกลุ่มที่ไม่เชี่ยวชาญเทคโนโลยีมาก Infrastructure Provider เลยเข้ามาดูแลในส่วนนี้แทน

 

ความปลอดภัยในการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัล

 

ความปลอดภัยในการเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัล

ในการเก็บรักษาความปลอดภัยของสินทรัพย์ในโลกบล็อกเชน ต้องใช้ความรู้มากในการระมัดระวังตัว การเชื่อมต่อสัญญาอัจฉริยะมั่ว อาจทำให้สูญเสียสินทรัพย์ทั้งหมดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มนักลงทุนสถาบันที่ไม่ได้มีหน่วยงานดูแลคริปโตแบบโดยตรงต้องยืมให้คนอื่นช่วยดูแลคริปโตให้ ว่าง่าย ๆ คือกลุ่มคนที่มองหาคนอื่นมาดูแลในส่วนนี้แทนตนเองที่ไม่มีเวลาดูนั่นเอง

 

เพิ่มโอกาสในการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล

การเข้ามาลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลเองไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องการความรู้ทางเทคโนโลยีค่อนข้างมาก ซึ่งในอนาคตที่มีการให้ความรู้ที่เหมาะสมทุกคนจะสามารถเข้าถึงคริปโตฯ ได้อย่างง่าย แต่ในปัจจุบันที่ทางหน่วยงานกำกับดูแลยังไม่ออกกฏดูแลอย่างครอบคลุม ทำให้ยังไม่มีใครกล้าทำอะไรมาก พร้อมทั้งความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีบล็อกเชนที่ยังคงซับซ้อนและไม่ค่อยเห็นภาพนัก ดังนั้นในช่วงนี้ Infrastructure Provider ถึงเข้ามาดูแลในส่วนนี้แทนนักลงทุนที่ไม่มีเวลา

 

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือกองทุนบล็อกเชนต่าง ๆ ที่ทางธนาคารเสนอ กอง Fund Manager ต่าง ๆ และล่าสุด ETFs ที่ออกโดยฝั่งสหรัฐอเมริกาที่ทำให้การเข้ามาลงทุนในโลกสินทรัพย์ดิจิทัลไม่ใช้เรื่องยากอีกต่อไป โดยมีทั้ง Bitcoin ETF ที่อนุมัติไปแล้ว และ Etheruem ETF ที่กำลังรอตัวเต็มอนุมัติ ผลิตภัณฑ์การลงทุนเหล่านี้ทำให้คนทั่วไปเข้าถึงสินทรัพย์ดิทัลได้ง่ายขึ้นและเป็นการเพิ่มโอกาสในการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล

 

ทำให้เงินดิจิทัลใช้งานได้กว้างขวาง

ในส่วนนี้มีทั้งการเข้ามาของฝั่งธนาคารกลางและฝั่งเอกชน ในฝั่งธนาคารกลางได้มีการพัฒนา Central Bank Digital Currency ขึ้นมาก่อน ในขั้นต้นได้สร้าง Wholesale CBDC ขึ้นมาใช้กันเองระหว่างธนาคารเพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการโอนเงินระหว่างประเทศ ต่อมาได้มีความพยายามในการพัฒนา Retail CBDC เพื่อเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำหรับประชาชนให้ใช้งานกัน แต่รูปร่างยังไม่ชัดเจนนักในตอนนี้ เลยยังไม่มีภาพให้อธิบายมาก แต่ทางนักวิเคราะห์คิดว่าน่าจะเหมือนกับการใช้งานบล็อกเชน แบบ On-chain แต่ในส่วนของนักพัฒนาและผู้เข้ามาใช้งานต้องมีการ KYC ให้เรียบร้อย

 

ในทางของภาคเอกชนได้มีการสร้าง Stable Coin ขึ้นมา โดย Stable Coin คือสกุลเงินดิจิทัลที่ถูกออกแบบมาเพื่อรักษามูลค่าให้คงที่โดยผูกค่าไว้กับสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ เช่น ดอลลาร์สหรัฐ ทองคำ หรือสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ จุดประสงค์หลักของ Stable Coin คือการลดความผันผวนของราคา ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในสกุลเงินดิจิทัลทั่วไป เช่น Bitcoin หรือ Ethereum ซึ่ง Stable Coin ถูกสร้างเพื่อเป็นตัวกลางในการนำเงินเข้า (Ramp-in) และพักเงินสำหรับนักลงทุน และในบางประเทศหรือบางคนที่ต้องการถือเงินสกุลสหรัฐอเมริกา การถือ Stable Coin เพื่อกระจายความเสี่ยงหรือป้องกันความเสี่ยงจากการเสื่อมค่าของเงินสกุลต้นทาง ก็เป็นตัวเลือกที่ดี

 

ตัวอย่างของ Stable Coin ทางฝั่งเอกชนคือ Tether และ Circle ที่สร้างเหรียญ USDT และ USDC ขึ้นมาโดยผูกกับสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ เช่น 1 Stablecoin = 1 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นประเภท Fiat-collateralized Stablecoin หรือ Stablecoin ที่มีการค้ำประกันด้วยเงินสดหรือสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเทียบเท่า ในส่วน Stable Coin รูปแบบอื่น ๆ ยังไม่ได้ถูกกำกับดูแลนักและไม่ได้มีสัดส่วนที่ใหญ่ในตลาด

 

สรุป

Infrastructure Provider มีบทบาทสำคัญในการเชื่อมโยงโลกการเงินแบบดั้งเดิมและโลกคริปโต โดยทำหน้าที่ดูแลการควบรวมทั้งสองโลกเข้าด้วยกัน พวกเขาจัดหาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็น เช่น ความปลอดภัยในการรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลด้วยการเข้ารหัส Cryptography Hash Function และการจัดการโหนดแบบกระจายศูนย์ (Decentralization) นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้ผู้คนทั่วโลกสามารถเข้าถึงและใช้งานสินทรัพย์ดิจิทัลได้อย่างง่ายดาย ทั้งมีการแบ่งย่อยสินทรัพย์ดิจิทัล (Fractionalization) ที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการลงทุน และทำให้เงินดิจิทัลใช้งานได้กว้างขวาง ตัวอย่างเช่น การสร้าง Stable Coin ที่มีมูลค่าคงที่เพื่อใช้ในการทำธุรกรรมและการเก็บรักษามูลค่า การพัฒนากองทุนบล็อกเชนและ ETFs ที่ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเรื่องง่ายและปลอดภัยมากขึ้น อีกทั้งยังส่งเสริมให้เงินดิจิทัลสามารถใช้งานได้อย่างกว้างขวางในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะการพัฒนา Central Bank Digital Currency (CBDC) และผลิตภัณฑ์การเงินดิจิทัลอื่น ๆ ที่เป็นนวัตกรรมในการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกรรมทางการเงินในยุคดิจิทัล

 

หมายเหตุ

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Merkle Capital คือผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกของประเทศไทยซึ่งสังกัดอยู่ภายใต้เครือบริษัท Cryptomind Group บริษัทให้การดูแลและบริหารการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายและปลอดภัยอย่างยั่งยืน