พอร์ตการลงทุน คืออะไร ? ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญ

พฤษภาคม 23, 2024

thumbnail

พอร์ตการลงทุน คืออะไร ? ทำไมถึงต้องให้ความสำคัญ


พอร์ตการลงทุน คืออะไร


เมื่อนักลงทุนหน้าใหม่ได้ยินคำว่า ‘พอร์ตการลงทุน‘ แล้ว อาจจะกลัวและสับสนอยู่บ้าง เพราะอาจมีความเชื่อว่า ผู้ที่มีพอร์ตลงทุนคือ ผู้ที่อยู่ในโลกการลงทุนมานานจึงจะสามารถทำได้ แต่การจัดพอร์ตการลงทุนนั้นไม่ได้ยากอย่างที่คิค เพียงแค่นำเงินลงทุน 1 ก้อนไปกระจายตัวอยู่ในหลายสินทรัพย์ก็ถือว่าเป็นผู้มีพอร์ตการลงทุนแล้ว แต่การจัดพอร์ตที่ดีอาจจะต้องเข้าใจว่า พอร์ตการลงทุนมีอะไรบ้าง และเข้าใจหลักการในการจัดพอร์ตให้เหมาะสมกับตัวเรา เพราะพอร์ตลงทุนนั้นมีหลายประเภท การที่เลือกพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมไม่ได้เพียงทำให้เราสามารถควบคุมความเสี่ยงให้เข้ากับเราได้ แต่ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุน ทำให้มีโอกาสที่จะบรรลุเป้าหมายการลงทุนของเราเพิ่มขึ้นอีกด้วย การจัดพอร์ตการลงทุนจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม

 

พอร์ตการลงทุน คืออะไร ?

พอร์ตการลงทุน หรือ Investment Portfolio คือ การลงทุนในสินทรัพย์ที่หลากหลาย แล้วนำมาสร้างเป็นพอร์ตลงทุนให้เหมาะสมกับความเสี่ยงที่รับได้และเป้าหมายของแต่ละบุคคลหรือองค์กร เพราะการลงทุนในสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่ง หรือ การลงทุนในสินทรัพย์แบบกระจุกตัวในสินทรัพย์ประเภทเดียวกันจะมีความเสี่ยงที่สูงมาก หากมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อมูลค่าของสินทรัพย์นั้น ๆ แม้ครั้งเดียว อาจจะทำให้เงินก้อนนั้นหรือความมั่งคั่งของเราหายไปในพริบตา ดังนั้น การนำ ‘ไข่ใส่ไว้ในหลาย ๆ ตะกร้า’ หรือ การจัดพอร์ตการลงทุนแบ่งสัดส่วนเงินกระจายตัวอยู่ในสินทรัพย์หลาย ๆ ประเภท (Asset Allocation) ในกรณีที่มีวิกฤติเกิดขึ้น พอร์ตที่มีการกระจายตัวดีจะมีความเสถียรมากกว่า เพราะการกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์ปลอดภัยทำให้พอร์ตของเราปรับตัวลดลงในระดับที่ต่ำกว่าตลาดเเละลดโอกาสการขาดทุนหนักได้


พอร์ตการลงทุน คืออะไร


การจัดพอร์ตการลงทุนนั้นไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เพราะพอร์ตที่ดีคือพอร์ตที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้ลงทุนมากที่สุด ซึ่งความเสี่ยงที่รับได้ เป้าหมายในการลงทุน และระยะเวลาในการลงทุนนั้นแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล การลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อย อาจให้ผลตอบแทนที่น้อยไม่เหมาะกับผู้ที่ต้องการผลตอบแทนที่สูง หรือ ความเสี่ยงของแต่ละบุคคลเปลี่ยนแปลงไปตามอายุ เมื่ออายุน้อยอาจจะรับความเสี่ยงได้มาก เพราะมีระยะเวลาในการลงทุนนาน แต่เมื่อใกล้วัยเกษียณจะสามารถวัดความเสี่ยงได้น้อยลงเพราะจำเป็นต้องรักษาเงินต้นไว้ เพื่อเอาไว้ใช้จ่ายหลังเกษียณ ดังนั้น ‘ระดับความเสี่ยงที่รับได้’ และ ‘ระยะเวลา’ ควรใช้เป็นตัวกำหนดในการเลือกประเภทสินทรัพย์ในการลงทุน

ลักษณะของพอร์ตการลงทุนที่ดี ควรคำนึกถึง 4 สิ่งนี้

  • มีสภาพคล่องสูง : ไม่ควรทุ่มเงินลงทุนเพื่อการลงทุนที่มีสภาพคล่องต่ำทำให้ยากต่อการปรับพอร์ต หรือถ่ายเงินออกจากพอร์ต
  • มีความยืดหยุ่น : สามารถปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนได้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
  • ไม่หลากหลายหรือกระจัดกระจายมากเกินไป : การกระจายตัวที่น้อยเกินไปจะทำให้มีความเสี่ยงสูงกว่าตลาดและการกระจายตัวที่มากเกินไปอาจทำให้ยากต่อการติดตามข่าวสารในทุกสินทรัพย์ที่ลงทุน
  • มีสัดส่วนการลงทุนที่เหมาะกับเป้าหมายที่ตั้งไว้ : มีความสมดุลกันระหว่างการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงน้อยกับความเสี่ยงมาก เพื่อให้ได้รับผลตอบแทนค่อนข้างแน่นอนและใกล้เคียงกับความต้องการ

 

ประเภทของ พอร์ตการลงทุน

พอร์ตการลงทุน มีอะไรบ้าง พอร์ตลงทุนสามารถแบบได้หลายประเภท ตามคุณสมบัติต่าง ๆ แต่ในเบื้องต้นนั้น พอร์ตการลงทุนสามารถแบบออกเป็น 3 ประเภท โดยประเมินจากความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนสามารถรับได้ เพราะสินทรัพย์แต่ละประเภทมีความเสี่ยงที่แตกต่างกัน น้ำหนักหรือสัดส่วนในการลงทุนของสินทรัพย์แต่ละประเภทจะแตกต่างออกไปตามความเสี่ยง ดังนี้

  • พอร์ตลงทุนแบบระมัดระวัง (Conservative Portfolio) : พอร์ตที่มุ่งเน้นความคงที่และเน้นความปลอดภัยในช่วงวิกฤติ จะมีความเสี่ยงที่ต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนที่น้อย แต่ยังคงมากกว่าการนำเงินไปฝากในธนาคาร เพราะพอร์ตลงทุนแบบระมัดระวัง ลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยหรือความเสี่ยงต่ำในสัดส่วนที่เยอะ และลงในสินทรัพย์เสี่ยงที่ให้ผลตอบแทนที่เยอะในสัดส่วนที่น้อยมาก ซึ่งอาจแบ่งสัดส่วนในการลงทุนเป็น กองทุนตราสารหนี้ 45% กองทุนตราสารเงิน 35% กองทุนตราสารทุน 15% และกองทุนทองคำ 5% การลงทุนในพอร์ตลักษณะนี้ จะการผันผวนต่ำ และในสภาวะวิกฤติจะสามารถคงมูลค่าได้ดีกว่าพอร์ตลงทุนลักษณะอื่น
  • พอร์ตลงทุนแบบปานกลาง (Moderate Portfolio) : พอร์ตที่ให้ความสนใจกับการทำกำไรที่สูงขึ้นแต่ยังคงความเสี่ยงที่อาจจะสูงขึ้นแต่อยู่ในระดับที่ไม่สูงมาก โดยลดสัดส่วนในการถือสินทรัพย์ที่เสี่ยงต่ำน้อยลง ซึ่งอาจปรับน้ำหนักการลงทุนเป็น กองทุนตราสารหนี้ 45% กองทุนตราสารเงิน 33% กองทุนตราสารทุน 15% และกองทุนทองคำ 7% พอร์ตการลงทุน ที่มีสัดส่วนในตราสารทุนที่เพิ่มขึ้น จะเป็นตัวเพิ่มผลตอบแทนของพอร์ตลงทุนของเรา
  • พอร์ตลงทุนแบบเชิงรุก (Aggressive Portfolio) : พอร์ตที่มุ่งเน้นไปกับการทำกำไรและให้ผลตอบแทนที่สูง แต่จะมีความเสี่ยงที่สูงขึ้นตามมา เพราะจะถือสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้น เป็นส่วนใหญ่ของพอร์ต ซึ่งจะปรับน้ำหนักในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างกองทุนตราสารทุนเป็น 70% กองทุนตราสารเงิน 15% กองทุนตราสารหนี้ 5% และกองทุนทองคำ 10% พอร์ตการลงทุนแบบเชิงรุก จะให้ผลตอบแทนที่ดีในสภาวะเศรษฐกิจที่ปรกติ แต่จะมีความเสี่ยงสูงมากในช่วงเศรษฐกิจขาลง

 


พอร์ตการลงทุน มีอะไรบ้าง


ปัจจัยที่ส่งผลต่อพอร์ตการลงทุน มีอะไรบ้าง?


ปัจจัยที่ส่งผลต่อพอร์ตการลงทุน


การลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงระหว่างหลาย ๆ สินทรัพย์ จะมีปัจจัยที่ส่งผลกระทบมากกับการลงทุนกว่าการลงทุนในสินทรัพย์ตัวเดียว การติดตามแต่ละปัจจัย และนำมาคำนึกอย่างสม่ำเสมอ ทำให้การวางแผนการลงทุนมีประสิทธิภาพที่มากขึ้น ปัจจัยเหล่านั้นได้แก่

  • เป้าหมายการลงทุน (Investment Goals) : วัตถุประสงค์การลงทุนของคุณอาจเปลี่ยนแปลงตามอายุและสถานะทางการเงินในตอนนั้น เมื่อเป้าหมายในการลงทุนเปลื่ยนพอร์ตก็ควรปรับให้สอดคล้องกับเป้าหมายนั้น ๆ
  • ระยะเวลาลงทุน (Investment Horizon) : ระยะเวลาที่คุณมีในการลงทุนจะมีผลต่อวัตถุประสงค์การลงทุนและสามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับใด เพราะระยะเวลาการลงทุนจะเป็นไปตามช่วงอายุ และหากระยะเวลาในการใช้เงินเป็น แผนการลงทุนก็ควรปรับ เพราะความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่สูงอยู่อาจจะทำให้เงินก้อนที่ต้องใช้หายไป
  • ปัจจัยด้านความเปลี่ยนแปลงของสัดส่วนสินทรัพย์ (Port Rebalancing) : การปรับพอร์ตการลงทุนควรทำ เมื่อสินทรัพย์ในพอร์ตเริ่มมีสัดส่วนที่แตกต่างไปจากเดิมมากเกินไป โดยนักลงทุนอาจจะกำหนดเอาไว้ว่า จะปรับพอร์ตเมื่อมีสินทรัพย์ใด ๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงไปจากค่ากำหนดของสัดส่วนที่ตั้งไว้ โดยส่วนใหญ่จะกำหนดให้สินทรัพย์จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงไม่เกิน 5% หรือ 10% หากเกินจากสัดส่วนที่กำหนดจะต้องทำการปรับพอร์ตโดยทันที เพราะการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของสินทรัพย์ใดสินทรัพย์หนึ่งอาจจะทำให้พอร์ตลงทุนเสียรูปจากที่วางแผนไว้ในตอนแรก (Distortion)
  • ปัจจัยที่เกิดจากสภาวะตลาดมีความเปลี่ยนแปลง (Economic Condition) : ปัจจัยการปรับพอร์ตเมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยนแปลงไป การปรับพอร์ตจึงจำเป็นเพื่อให้ความเสี่ยงและผลตอบแทนอยู่ในระดับที่เท่าเดิม โดยเมื่อตลาดอยู่ในช่วงขาขึ้น อาจปรับสัดส่วนของสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงให้สูงขึ้น เพื่อสร้างโอกาสในการสร้างผลตอบแทน แต่ถ้าตลาดอยู่ในช่วงขาลง การปรับลดสัดส่วนของสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงลง และไปปรับเพิ่มสัดส่วนของสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำแทน ก็จะเป็นการสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นในพอร์ตได้ 
  • ปัจจัยรอบโลก (Global Factors) : การกระจายความเสี่ยงไปยังตลาดต่างประเทศ ทำให้ปัจจัยทางการเมือง สังคม สิ่งแวดล้อม และเหตุการณ์ทางโลกที่ส่งผลต่อผลตอบแทนและความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนโดยตรง การติดตามอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงิน จัดว่าเป็นนึงในปัจจัยสำคัญในการลงทุนสินทรัพย์ต่างประเทศ
  • ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง (Costs) : ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการจัดการพอร์ต สามารถมีผลต่อต้นทุนในการปรับพอร์ตและผลตอบแทนในระยะยาว

 

สรุป

การลงทุนแบบการจายความเสี่ยงในพอร์ตการลงทุน ของเรา เป็นสิ่งสำคัญในการลงทุน นอกจากจะลดความเสี่ยงแล้ว ยังทำให้เพิ่มโอกาสในการบรรลุเป้าหมายในการลงทุน พอร์ตการลงทุนนั้นไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว ลงทุนแบบผสมผสานระหว่างความเสี่ยงมากกับความเสี่ยงน้อยให้ได้ความเสี่ยงและอัตราผลตอบแทนที่ต้องการ การสร้างพอร์ตที่เหมาะสมกับเรา ควรคำนึกถึงความเสี่ยงและระยะเวลาในการลงทุนเป็นหลัก การวางแผนที่เหมาะสม และความสม่ำเสมอในการติดตามข่าวสารในสินทรัพย์ที่มีการลงทุนไว้ ควรเป็นสิ่งที่ทำควบคู่กับการลงทุน 

แหล่งข้อมูล:

 

หมายเหตุ

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

 

เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Merkle Capital คือผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกของประเทศไทยซึ่งสังกัดอยู่ภายใต้เครือบริษัท Cryptomind Group บริษัทให้การดูแลและบริหารการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายและปลอดภัยอย่างยั่งยืน