มิถุนายน 21, 2024
Layer 2 คืออะไร แตกต่างจาก Layer 1 อย่างไร เหตุใดระบบบล็อกเชน (Blockchain) ในยุคปัจจุบันถึงเริ่มไม่ตอบโจทย์ในการรองรับการทำธุรกรรมจึงส่งผลให้เกิดการแข่งขันการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบใหม่อย่าง Layer 2
นักลงทุนหน้าใหม่มักมีคำถามว่า Layer 2 คืออะไร? มาหาคำตอบไปด้วยกันได้ในบทความนี้Blockchain layer 2 เป็นหนึ่งในนวัตกรรมที่สำคัญของระบบบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี โดยเป้าหมายหลักคือการแก้ปัญหาเรื่องความสามารถในการปรับขนาด (Scalability) และเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมของเครือข่ายบล็อกเชน เนื่องจากปัจจุบันเครือข่ายบล็อกเชนหลายเครือข่ายเผชิญปัญหากับความล่าช้าในการทำธุรกรรมและค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรม (Gas Fee) ที่สูงมากจนส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งานจนถึงผู้พัฒนา dApps (Decentralized applications) ทำให้เกิดความลำบากในการพัฒนาและต่อยอดเทคโนโลยีนี้
จึงทำให้แนวคิด Layer 2 ถูกพัฒนาขึ้น ซึ่ง Layer 2 นั้นถูกออกแบบมาเพื่อทำงานควบคู่กับ Layer 1 ซึ่งเป็นระบบบล็อกเชนหลัก เพื่อทำให้บล็อกเชนดั้งเดิมที่มีผู้ใช้งานจำนวนมากนั้น มีการประมวลผลที่รวดเร็วขึ้นและลดค่าธรรมเนียมในการทำธุรกรรมลงเพื่อให้ผู้ใช้งานได้รับประสิทธิภาพสูงสุด
กล่าวได้ว่าเครือข่าย Layer 2 คือเครือข่ายบล็อกเชนเสริมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อจัดการธุรกรรมขนาดเล็กแทนเครือข่ายหลัก (Mainchain) โดยมีจุดประสงค์เพื่อบรรเทาภาระและลดความหนาแน่นของเครือข่ายหลัก การทำธุรกรรมบน Layer-2 มักจะมีความเร็วสูงและค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่า เมื่อถึงเวลาที่กำหนด Layer-2 จะสรุปข้อมูลธุรกรรมทั้งหมดที่เกิดขึ้นและส่งข้อมูลเหล่านี้กลับไปเก็บในเครือข่ายหลักอีกครั้ง
เมื่อพูดถึงเหตุผลที่นักพัฒนาเครือข่ายบล็อกเชนจำเป็นต้องพัฒนา Layer 2 เนื่องจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำธุรกรรมทั้งด้านจำนวน ความซับซ้อน และระยะเวลาการทำธุรกรรมล้วนมีความสำคัญต่ออนาคตของระบบบล็อกเชนและคริปโตเคอร์เรนซี่อย่างมาก โดยสามารถสรุปเหตุผลของประโยชน์ของบล็อกเชน Layer 2 ได้ดังนี้
เมื่อเข้าใจถึงปัญหาของ Layer 1 รวมถึงเหตุผลในการพัฒนา Layer 2 และวิธีการทำงานแล้ว สามารถวิเคราะห์และสรุปถึงโอกาสที่ Layer 2 จะสร้างประโยชน์ให้กับวงการคริปโตเคอร์เรนซีได้ดังนี้
เนื่องจาก Layer 2 ถูกสร้างขึ้นจากกลุ่มนักพัฒนาจำนวนมาก ทำให้หลักการและวิธีการทำงานต่างกัน ซึ่งมีตัวอย่างการทำงานหลักของ Layer 2 ด้วยกันดังนี้
1. Lightning network - Lightning network เป็นโปรโตคอล Layer 2 ที่ออกแบบมาเพื่อเพิ่มความสามารถในการปรับขนาดของ Bitcoin Chain การทำงานหลักคือ สร้างช่องทางการชำระเงินนอกเครือข่าย (Off-chain Payment Channels) ซึ่งช่วยให้สามารถทำธุรกรรมระหว่างผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็วและค่าธรรมเนียมต่ำ
การทำงานของ Lightning Network
2. Rollups - Rollups เป็นเทคโนโลยี Layer 2 ที่รวมกลุ่มธุรกรรมหลาย ๆ จำนวนมากให้เหลือเพียงธุรกรรมเดียว และบันทึกลงบนเครือข่ายหลักในรูปแบบของข้อมูลรวม (Aggregated Data) เพื่อลดภาระและเพิ่มความสามารถในการปรับขนาดของ Layer 1
การทำงานของ Rollups : Rollups ที่เกิดขึ้นจนถึงปี 2024 มี 2 ประเภทคือ Optimistic Rollups และ ZK-Rollups
นอกจาก Layer 2 จะถูกใช้ภายในวงการคริปโตเคอร์เรนซีแล้ว ยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เหมาะกับอุสาหกรรมอื่นๆ ได้ เช่น
ในโลกของบล็อกเชน Layer 2 ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นโซลูชันที่ออกแบบมาเพื่อแก้ไขข้อจำกัดของ Layer 1 (Mainnet) เช่น Ethereum ซึ่งมักประสบปัญหาค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรมที่สูงและความล่าช้าในช่วงที่เครือข่ายแออัด
Layer 2 ทำงานโดยการสร้างเครือข่ายที่แยกออกจาก Layer 1 เพื่อประมวลผลธุรกรรมจำนวนมาก ก่อนที่จะส่งข้อมูลกลับไปยัง Layer 1 เพื่อความปลอดภัย ตัวอย่างของ Layer 2 เช่น Optimistic Rollups, zk-Rollups และ Sidechains ช่วยเพิ่มความเร็วและลดค่าธรรมเนียมได้อย่างมีประสิทธิภาพอนาคตของ Layer 2 น่าจับตามองเพราะ:
1.การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน: ช่วยให้บล็อกเชนรองรับผู้ใช้งานได้จำนวนมากขึ้น รองรับแอปพลิเคชันที่ซับซ้อน เช่น DeFi และเกมบล็อกเชน
2.การลดต้นทุน: ค่าธรรมเนียมที่ต่ำกว่าช่วยให้ผู้ใช้งานทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
3.การขยายตัวของเครือข่าย: ด้วยการสนับสนุนจากโครงการใหญ่ เช่น Ethereum 2.0 และการพัฒนาเทคโนโลยี Layer 2
ดังนั้น Layer 2 ไม่เพียงช่วยพัฒนาบล็อกเชนในปัจจุบัน แต่ยังสร้างโอกาสใหม่ ๆ ในการขยายระบบนิเวศของ Web3 ในอนาคตอีกด้วย
แม้ Layer 2 จะถูกนับว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ แต่ Layer 2 นั้นก็เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีความสำคัญอันดับต้นๆ ในการพัฒนาบล็อกเชนให้มีประสิทธิภาพและเพิ่มความสามารถในการปรับขนาดมากขึ้น ด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น Lightning Network, Plasma, และ Rollups โดย Layer 2 ช่วยแก้ปัญหาทั้งการเพิ่มความเร็วธุรกรรม ลดค่าธรรมเนียม และเพิ่มความปลอดภัยของบล็อกเชนได้
แม้ว่า Layer 2 นั้นยังมีความท้าทายและข้อจำกัดที่ควรพิจารณา แต่การนำ Layer 2 มาใช้ในวงกว้างยังคงเป็นโอกาสสำคัญในการพัฒนาและเพิ่มการเข้าถึงเทคโนโลยีบล็อกเชน ทั้งการสร้างความเข้าใจ การพัฒนาซอฟต์แวร์ และการสนับสนุนจากภาคอุตสาหกรรมจะทำให้ Layer 2 ถูกนำมาใช้งานมากขึ้นไปจนถึงการรองรับการใช้งานในระดับมหภาคได้ในอนาคต
คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
Disclaimer