มิถุนายน 17, 2024
Cryptocurrency กับ Blockchain นั้นถือว่าเป็นของคู่กัน เพราะเหรียญ Cryptocurrency ส่วนใหญ่ใช้เทคโนโลยี Blockchain ในการดำเนินระบบ ช่วยเสริมในเรื่องความปลอดภัย และการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งแท้จริงแล้วนั้น เทคโนโลยีนี้ไม่ได้เพิ่งค้นพบเร็ว ๆ นี้ แต่เป็นเทคโนโลยีที่ถูกพัฒนามาตั้งแต่ก่อนปี 2000 เสียอีก และ นาย ซาโตชิ นากาโมโตะ ก็ได้นำเทคโนโลยีนี้มาพัฒนาเป็น Bitcoin สินทรัพย์ทางดิจิทัลแรกที่เคยเกิดขึ้น การนำเสนอรูปแบบการใช้ Blockchain แบบ Public Blockchain ในลักษณะที่ Bitcoin แสดงให้โลกเห็น ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกการเงินครั้งใหญ่ และในปัจุบันนี้ เทคโนโลยีนี้ ได้ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เพิ่มประสิทธิภาพ ความโปร่งใส่ และความปลอดภัยให้กับระบบที่ใช้จัดเก็บข้อมูลต่าง ๆ แต่คำว่า Blockchain ที่เป็นที่พูดถึงกันอย่างแพร่หลายนั้น จริง ๆ แล้ว สามารถแบ่งได้หลายประเภท และ Public Blockchain คือ หนึ่งในประเภทของ Blockchain ที่มีความโปร่งใสและสอดคล้องกับแนวคิดการกระจายอำนาจมากที่สุด
บล็อกเชน หรือ เทคโนโลยีบัญชีแยกประเภทแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology - DLT) เปรียบเสมือนฐานข้อมูลดิจิทัลที่ทุกคนในเครือข่ายสามารถเข้าถึงและตรวจสอบได้ ข้อมูลบนบล็อกเชนจะถูกบันทึกไว้เป็น "บล็อก" ซึ่งแต่ละบล็อกจะเชื่อมโยงกับบล็อกก่อนหน้า และข้อมูลทั้งหมดจะถูกเข้ารหัสเพื่อความปลอดภัย ทำให้ข้อมูลบนบล็อกเชนนั้นเปลี่ยนแปลง แก้ไข หรือลบได้ยาก แตกต่างจะระบบ Tranditional ที่จะจัดเก็บข้อมูลผ่านศูนย์กลางเดียว
สรุปง่าย ๆ บล็อกเชนมีคุณสมบัติหลักดังนี้:
ประเภทของบล็อกเชนที่ใช้กันอยู่ในปัจุบัน แบ่งออกหลัก ๆ เป็น 4 ประเภทตแตกต่างออกไปตามการใช้งาน ดังนี้
1. Public Blockchain: โปร่งใส ไร้การควบคุม
บล็อกเชนสาธารณะ (Public blockchain) เปรียบเสมือนสมุดบัญชีที่เปิดให้ทุกคนเข้าถึง ข้อมูลบนบล็อกเชนประเภทนี้จะถูกเก็บไว้บนโหนด (Node) ที่กระจายไปทั่วโลก ไม่มีใครสามารถควบคุมได้ ใคร ๆ ก็สามารถตรวจสอบข้อมูลได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องขออนุญาต เปรียบเสมือน Facebook ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและดูโปรไฟล์ของใครก็ได้ ตัวอย่างที่โด่งดังของบล็อกเชนสาธารณะก็คือ Bitcoin นั่นเอง
2. Private Blockchain: ควบคุมความเป็นส่วนตัว
บล็อกเชนส่วนตัวเปรียบเสมือนสมุดบัญชีส่วนตัว ซึ่งตรงกันข้ามกับ Public blockchain ถึงแม้จะมีโหนดเก็บข้อมูลเหมือนบล็อกเชนสาธารณะ แต่ผู้ควบคุมโหนดเหล่านี้จะเป็นองค์กรหรือบุคคลที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น การเข้าถึงบล็อกเชนประเภทนี้จำเป็นต้องขออนุญาต ทำให้ข้อมูลบนบล็อกเชนส่วนตัวมีความเป็นส่วนตัวมากกว่า เหมาะกับการใช้งานภายในองค์กรที่ต้องการควบคุมข้อมูล เปรียบเสมือนกลุ่มส่วนตัวบน Facebook ที่เฉพาะสมาชิกเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงและดูโพสต์ได้
3. Hybrid Blockchain: ผสมผสานความโปร่งใสและควบคุม
บล็อกเชนแบบผสมผสานจุดเด่นของ Public blockchain และ Private blockchain เข้าด้วยกัน ข้อมูลบางส่วนบนบล็อกเชนแบบผสมจะเปิดเผยให้สาธารณะเข้าถึง แต่บางส่วนจะถูกเก็บไว้เป็นส่วนตัว การเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวจะต้องขออนุญาตจากผู้ควบคุมบล็อกเชน เปรียบเสมือนโปรไฟล์ Facebook ที่ตั้งค่าให้โพสต์บางโพสต์เป็นสาธารณะ แต่บางโพสต์เป็นส่วนตัว
4. Consortium Blockchain: เครือข่ายกลุ่มพันธมิตร
บล็อกเชนแบบกลุ่มพันธมิตรคล้ายกับบล็อกเชนส่วนตัว แต่มีขนาดใหญ่และมีผู้ควบคุมบล็อกเชนหลายราย องค์กรเหล่านี้จะร่วมกันดูแลและควบคุมเครือข่ายบล็อกเชน เหมาะกับการใช้งานขององค์กรที่ต้องการความร่วมมือจากหลายฝ่าย เปรียบเสมือนโปรไฟล์ Facebook ที่ตั้งค่าให้โพสต์บางโพสต์เป็นสาธารณะ แต่บางโพสต์เป็นส่วนตัว
สรุปแล้ว บล็อกเชนทุกประเภท มีระดับความปลอดภัยที่เท่ากัน เพราะ ข้อมูลที่อยู่ใน Block นั้นไม่สามารถแก้ไขได้ แต่ระดับของการเข้าถึงข้อมูลนั้นแตกต่างกันในแต่ละประเภท ขึ้นอยู่กับการใช้งานในแต่ละเคส แต่บล็อกเชนที่มีความโปร่งใส่ตาม Framework ของ Blockchain ที่สุด คือ บล็อกเชนสาธารณะ เพราะ ข้อกําหนดของ Public Blockchain คือ ไม่ว่าใครก็สามารถเข้าถือข้อมูลได้ แบบ Real-time
ในตอนแรก บล็อกเชนเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลังสกุลเงินดิจิทัลอย่าง Bitcoin แต่ศักยภาพของบล็อกเชนนั้นกว้างไกลกว่านั้นมาก เทคโนโลยีนี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายด้าน และด้านที่เด่นที่สุดของ Blockchain คือเรื่องการจัดเก็บข้อมูล เทคโนโลยีบล็อกเชนมีศักยภาพที่จะปฏิวัติวิธีการจัดเก็บและจัดการข้อมูลลูกค้า ด้วยคุณสมบัติที่โดดเด่นของบล็อกเชน เช่น ความปลอดภัย ความโปร่งใส และความกระจายอำนาจ ข้อมูลลูกค้าสามารถถูกเก็บไว้ได้อย่างปลอดภัย เข้าถึงได้ง่าย และถูกควบคุมโดยลูกค้าเอง ซึ่งนำไปสู่ข้อดีหลายประการ ดังนี้
เทคโนโลยีบล็อกเชนมีศักยภาพที่จะปฏิวัติหลายอุตสาหกรรมนอกเหนือจากระบบการเงิน ตัวอย่างการใช้ประโยชน์จากบล็อกเชน ทั้ง Public blockchain Private Blockchain Hybrid Blockchain และ Consortium Blockchain ที่น่าจำตามองนอกเหนือจากการจำเก็บข้อมูล ได้แก่:
นี่เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนของวิธีที่เทคโนโลยีบล็อกเชนสามารถนำมาพัฒนาข้ามข้อจำกัดจากระบบแบบเก่า และเพื่อปฏิวัติอุตสาหกรรมต่าง ๆ เมื่อเทคโนโลยีบล็อกเชนยังคงถูกพัฒนาต่อไป เราน่าจะได้เห็นการใช้งานใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์น่าตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก และไม่ใช่เรื่องแปลกที่เทคโนโลยีนี้จะการจายตัวอยู่ในทุกอุสาหกรรมในอนาคตอันใกล้นี้
เมื่ออยากรู้ข้อมูลบนบล็อกเชน ไม่ว่าใครก็สามารถตรวดสอบได้โดยไม่ต้องขออนุญาต ถ้า Public Blockchain คือ ประเภทของเชนนั้น ๆ โดยการใช้ Blockchain Explorer ซื่งคือเครื่องมือที่ช่วยให้คุณสามารถค้นหาและตรวจสอบข้อมูลบนบล็อกเชนได้ไม่ยาก
Blockchain Explorer เปรียบเสมือนเว็บไซต์ที่รวบรวมข้อมูลทุกอย่างบนบล็อกเชน เปรียบเสมือนห้องสมุดขนาดใหญ่ที่จัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับธุรกรรม บล็อก และที่อยู่กระเป๋าเงิน พร้อมทั้งเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยให้คุณค้นหาและวิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
วิธีใช้งาน Blockchain Explorer:
1. เลือก Blockchain Explorer: แต่ละบล็อกเชน เช่น Bitcoin, Ethereum, Solana, Cardano ฯลฯ จะมี Blockchain Explorer ของตัวเอง ตัวอย่างเช่น
2. ค้นหาข้อมูล: คุณสามารถค้นหาข้อมูลบนบล็อกเชนได้หลายวิธี เช่น ค้นหาด้วยแฮชของธุรกรรม ที่อยู่กระเป๋าเงิน หรือชื่อบล็อก
3. วิเคราะห์ข้อมูล: Blockchain Explorer มักมีเครื่องมือต่าง ๆ ที่ช่วยให้คุณวิเคราะห์ข้อมูลบนบล็อกเชนได้ เช่น ดูจำนวนธุรกรรม ยอดคงเหลือในกระเป๋าเงิน หรือตรวจสอบกิจกรรมของที่อยู่
หมายเหตุ
คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
Disclaimer