มิถุนายน 27, 2024
Technical Analysis คือการวิเคราะห์พฤติกรรมของราคาสินทรัพย์ในอดีตซึ่งใช้หลักของสถิติในการวิเคราะห์ว่าหากเกิดรูปแบบแบบนี้แล้วจะทำให้ราคามีลักษณะเป็นอย่างไรซึ่งขึ้นอยู่กับความน่าจะเป็นและเหตุการณ์ต่าง ๆ ตามสภาวะปัจจุบันด้วยจึงทำให้บางกลุ่มคิดว่าสิ่ง ๆ นี้ใช้ได้จริงหรือไม่โดยวันนี้เราจะมาดูกันว่าศาสตร์ของ Technical Analysis เป็นอย่างไร
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) คือ การศึกษารูปแบบราคาของสินทรัพย์ทางการเงินใดสินทรัพย์หนึ่ง เช่น หุ้น, Forex มีเป้าหมายเพื่ออธิบายว่า เหตุผลของการก่อกำหนดรูปแบบเหล่านั้น ซึ่งนั่นไปสู่การประเมินทิศทางความเป็นไปได้ของราคา อาจแบ่งเป็น 3 ลักษณะใหญ่ ๆ
Technical Analysis มีหลายวิธีด้วยกันที่สามารถใช้ได้ในการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับหลักทรัพย์ใดหลักทรัพย์หนึ่ง แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ผู้ใช้งานจะต้องดึงเอาข้อมูลราคาย้อนหลังมาใช้ระบุรูปแบบราคาที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ อย่างเป็นแบบแผนทั้งสิ้น ซึ่งรูปแบบราคาเหล่านี้จะถูกนำมาใช้ช่วยเทรดเดอร์ในการคาดการณ์สภาวะตลาดได้อย่างแม่นยำ รวมถึงช่วยหาจุดเข้าและออกจากตลาดด้วย
การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) ของตลาดการเงินถือกำเนิดมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่มีตลาดเกิดขึ้นในโลกซึ่งขับเคลื่อนด้วยอุปสงค์และอุปทานแล้ว ซึ่งถือเป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค โดยมีการบันทึกทางประวัติศาสตร์เป็นลายลักษณ์อักษรตั้งแต่ราว ๆ ศตวรรษที่ 17 โดยพ่อค้าชาวดัชต์ และในศตวรรษที่ 18 โดยผู้ค้าข้าวชาวญี่ปุ่น ในปลายศตวรรษที่ 19 การวิเคราะห์ทางเทคนิคก็เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น เนื่องจากการนำเสนอต่อตลาดซื้อขายสินทรัพย์โดย Charles Dow ผู้ก่อตั้งและบรรณาธิการของ The Wall Street Journal
นอกจากนี้ก็ยังมีผู้บุกเบิกด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิคร่วมชาติเดียวกันกับ Charles Dow อีกหลายคน เช่น Ralph Nelson Elliott ผู้คิดค้นทฤษฎี Elliott Wave, William Delbert Gann ผู้คิดค้นทฤษฎี Gann Angle, Richard Demille Wyckoff ซึ่งถือเป็นนักจิตวิทยาตลาดคนแรกที่ตั้งทฤษฎีกล่าวอ้างว่าควรมองตลาดซื้อขายที่ประกอบไปด้วยบันทึกข้อมูลย้อนหลังทั้งหมดให้เป็นหนึ่งเดียว
คำสอนของเขายังคงถูกนำไปใช้สอนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ อยู่จนถึงทุกวันนี้ เกือบตลอดช่วงศตวรรษที่ 20 และในอดีตที่ผ่านมา การวิเคราะห์ทางเทคนิคจะจำกัดอยู่เพียงแค่การวิเคราะห์กราฟราคา เนื่องจากการคำนวณทางสถิติของข้อมูลปริมาณมาก ๆ นั้นยังไม่สามารถทำได้ และยังไม่มีอินดิเคเตอร์วิเคราะห์ทางเทคนิคให้ใช้งานด้วยเช่นกัน จึงอาจกล่าวได้ว่าปัจจุบันซึ่งถูกเรียกว่าเป็น 'ยุคดิจิตอล' อาจถือเป็นยุคทองของการวิเคราะห์ทางเทคนิคและทำให้ศาสตร์ Technical Analysis เป็นที่นิยมเลยก็ว่าได้
ทฤษฎีดาว (Dow Theory) คือ กรอบแนวคิดหนึ่งในการวิเคราะห์กราฟราคาหุ้น ตลาดทองคำ ค่าเงิน โดยให้ความสำคัญกับการพิจารณารอบของการสวิงของราคาว่าเกิด "จุดสูงสุดใหม่ (New High) " หรือ "จุดต่ำสุดใหม่ (New Low) " หรือไม่ ซึ่งการที่จะทราบว่า เกิดจุดสูงสุดหรือต่ำสุดหรือยัง นักวิเคราะห์จะรอให้เกิดการกลับตัวที่ชัดเจนในสวิงนั้นๆ ของราคาก่อน จึงจะนับเป็นจุด New High หรือ Low Dow Theory เดิมทีเป็นเพียงมุมมองของ Charles Henry Dow นักข่าวสายตลาดหุ้นที่จะเขียนบทความเกี่ยวกับวิธีการมองแนวโน้มของตลาดไว้ในหนังสือพิมพ์ The Wall Street Journal (WSJ) ภายหลังมีผู้สนใจแนวคิดดังกล่าว รวบรวมไว้เป็นหลักทฤษฎี โดยในบทความนี้ จะแบ่งอธิบายเป็น 3 หัวข้อใหญ่ ๆ ดังต่อไปนี้
นอกจากนี้จะมีการอธิบายถึงปริมาณการซื้อขายหรือ Volume ที่ต้องสอดรับกับแนวโน้มด้วย อย่างไรก็ตาม สิ่งที่นักวิเคราะห์ Technical Analysis รุ่นหลังให้ความสำคัญมากที่สุด คือเรื่อง "ราคา" ทั้งนี้ เมื่อราคาเกิดการกลับตัวในแต่ละสวิงและเกิดเป็นจุด New High-Low ขึ้นมาใหม่ดังที่อธิบายไว้ข้างต้น ถ้าเกิด New High อย่างต่อเนื่องก็นับเป็นสภาวะราคาที่เป็น "ขาขึ้น" โดยแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแรงก็จะสร้างจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย ซึ่งถ้าไม่ได้สร้างจุดต่ำสุดที่สูงขึ้น หรือสูงขึ้นไม่มาก ก็ย่อมหมายถึงสภาวะของราคาที่อ่อนแรงลง ในทางตรงกันข้าม หากเป็นแนวโน้ม "ขาลง" ก็จะมีลักษณะของการสร้าง New Low อย่างต่อเนื่อง แต่ถ้าวันใดเกิดการสวิงที่ไม่ได้สร้าง New Low หรือเป็น New Low ที่ต่ำลงไม่มาก ก็หมายถึงความแข็งแกร่งของแนวโน้มขาลงกำลังอ่อนแอ และอาจหมายถึง การเปลี่ยนทิศทางในอนาคต และนี่คือนัยของสิ่งที่บอกว่า "แต่ละสวิงมีความหมาย" เพราะแต่ละสวิงจะเป็นตัวบอกว่า แนวโน้มอ่อนแรงลงหรือยังแข็งแกร่งอยู่ (ดูว่า New High, New Low หรือไม่)
1 แนวโน้ม "หลัก" และ "รอง" : เวลาหลังจากได้เรียนรู้วิธีการนับหรือสังเกต "สวิง" ของราคาแล้วว่าเป็น New High หรือ New Low หรือไม่แล้วนั้น จะสังเกตได้ว่า พอหลาย ๆ สวิงมารวมกัน ย่อมประกอบกันเป็น "กรอบแนวโน้ม" โดย Dow Theory ได้แบ่งแนวโน้มออกเป็น 3 ระดับทั้งในแง่ของ "ระยะเวลา" และ "ระยะทางของราคา" คือ แนวโน้มหลัก แนวโน้มรอง และแนวโน้มย่อย นักลงทุนส่วนใหญ่มักโฟกัสเฉพาะแนวโน้มหลักและรองเท่านั้น เพราะมองว่า แนวโน้มย่อย เป็นเพียงความผันผวนในระยะสั้น ๆ ไม่ได้มีนัยสำคัญ แต่ต้องตระหนักไว้เสมอว่า มุมมองต่อการเทรดและต่อกรอบเวลาที่แตกต่างกัน ย่อมทำให้นักลงทุนแต่ละคนให้ความสำคัญกับแนวโน้มที่แตกต่างกันและนำไปสู่การใช้กลยุทธ์การลงทุนที่แตกต่างกันด้วยทั้งนี้ตามแนวคิดของทฤษฎีดาว "แนวโน้มหลัก" คือ แนวโน้มที่กินระยะเวลาตั้งแต่ 1 ปี หรืออาจหลายปี ส่วนแนวโน้มรองจะกินเวลา 3 สัปดาห์ถึง 3 เดือน หรือให้เข้าใจง่าย ๆ คือ
- แนวโน้มหลักประมาณ 1 ปีหรือมากกว่า
- แนวโน้มรองจะราวๆ 1-3 เดือน
จะเห็นว่า แนวคิดสำคัญของทฤษฎีดาวในการแบ่งแยกแนวโน้ม ก็คือ "ระยะเวลา" แต่ปัญหาในปัจจุบันคือ "วัฏจักรธุรกิจ" (Business Cycle) เกิดการผันผวนและแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็วจากเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเก่า ๆ ทำให้มีธุรกิจที่โตเร็วและจากไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้ราคาสินค้า ราคาวัตถุดิบ ไปจนถึงราคาของสินทรัพย์ทางการเงินมีวัฏจักรที่สั้นและมีความผันผวนกว่าแต่ก่อน
การกำหนดระยะเวลาตายตัวเพื่ออธิบายว่า อะไรเป็นแนวโน้มหลักหรือรอง จึงกลายเป็นสิ่งที่ล้าสมัย ดังนั้น นักวิเคราะห์สมัยใหม่จึงพัฒนาแนวคิดเรื่องระยะเวลามาเป็น "สัดส่วนของระยะเวลา" โดยเมื่อมีแนวโน้มหลักเป็นตัวตั้ง แนวโน้มรองจะกินระยะเวลาราว ๆ 10-30 % ของแนวโน้มหลัก
2 การปรับฐานไปเป็น "แนวโน้มรอง": ระยะทางแม้ "กรอบเวลา" จะเป็นที่นิยมในหมู่นักเทรดมืออาชีพ เพราะกรอบเวลาของแนวโน้มจะส่งผลต่อกลุยทธ์ที่ใช้ แนวโน้มหนึ่ง ๆ ที่ยาวนาน จะทำให้เทรดเดอร์ไม่ต้องวางกลยุทธ์ใหม่หรือไม่ต้องเปลี่ยนแผนบ่อย ๆ แต่กรอบเวลาและสัดส่วนดังกล่าว มักไม่ค่อยเป็นจุดที่ได้รับความสนใจในหมู่นักเทรดหน้าใหม่ เนื่องจากเป็นสิ่งที่จับต้องได้ยากกว่าระดับราคา อย่างไรก็ตาม Dow Theory ก็มีการกล่าวเรื่องนี้ไว้ประกอบกับเรื่องสัดส่วนเวลาว่า แนวโน้มรอง (ปรับฐานจากแนวโน้มหลัก) สามารถวิ่งลงลึกได้ตั้งแต่ 1/3 หรือ 2/3 ของแนวโน้มหลักอธิบายอย่างง่าย คือ หากแนวโน้มหลักวิ่งขึ้นมา 100 Pips ก็จะปรับฐานเป็นแนวโน้มรองลงไป อาจจะ 30 Pips หรือ 60 Pips ก็ได้ แต่ Charles H. Dow ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ราคามักจะปรับฐานราวๆ 50 % หรือครึ่งนึงพอดี ซึ่งนำไปสู่แนวคิดการวัดการปรับฐานด้วยสัดส่วน Fibonacci
3 แนวโน้มย่อย Dow Theory มองว่า แนวโน้มย่อยจะเป็นเพียงความผันผวนระยะสั้นที่กินระยะเวลาไม่เกิน 3 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการพยายามอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการเกิด "แนวโน้มรอง" โดยแนวโน้มย่อยมักเคลื่อนไหวเป็นกรอบแคบ ๆ ในช่วงเวลาหนึ่ง โดยนักวิเคราะห์รุ่นใหม่มักให้ข้อสังเกตว่า กรอบแนวโน้มย่อยดังกล่าว มักเป็นกรอบที่ความผันผวนต่ำลงหรือปริมาณการซื้อขายซบเซา และการทะลุออกจากกรอบแนวโน้มย่อย มักเป็นจุดเริ่มต้นของแนวโน้มใหญ่ครั้งใหม่
แนวคิดเรื่องการ "ทดสอบราคา" Charles H. Dow ได้ทิ้งข้อสังเกตหนึ่งไว้สั้น ๆ แต่กลับมีความหมายมากที่สุด นั่นคือมองว่า ราคาหุ้นมักมีพฤติกรรมซ้ำ ๆ ที่เรียกว่า The Law of Action and Reaction หรือ "กฎของการกระทำและการตอบสนอง" อธิบายก็คือ เมื่อราคาทำ New High (Action) และกลับตัวปรับฐานมาเสร็จแล้ว ราคาจะ "Pullback" ไปจุดสูงสุดอีกครั้ง เพื่อทดสอบว่า (Reaction) จะผ่านจุดสูงสุดขึ้นไปหรือ "ไม่ผ่าน" แล้วก็ค่อยตกลงมา แนวคิดนี้นำไปสู่หลักการพื้นฐานที่เรียกว่า "การทดสอบของราคา" เมื่อนำมาผสมกันแล้ว จะได้ว่า Dow Theory คือการใช้จุดสวิงที่เคยเป็น High, Low เป็นจุดสังเกตว่า ราคาจะตอบสนองต่อแนวดังกล่าวอย่างไร (Reaction) หากไม่สามารถผ่าน High ที่แล้วได้ ราคาก็มักจะถูกตบให้ร่วงลงด้วยความแรงที่มากกว่าปกติ การวิเคราะห์แนวโน้มตามแนวทางของ Dow Theory จะใช้ได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อได้พิจารณาการทดสอบของราคาควบคู่ไปด้วย นักวิเคราะห์สมัยใหม่ นิยมใช้แนวราคาที่เกิดการวกกลับของราคาบ่อยๆ หรือมีการเกาะกลุ่มของราคามาก ๆ มาเป็นแนวสังเกตว่า ราคาจะมาทดสอบแล้วผ่านไปได้หรือไม่ นำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า "แนวรับ" และ "แนวต้าน" ดังนั้น แนวรับและแนวต้าน จึงเป็นสิ่งที่ใช้พิจารณาควบคู่กับการทดสอบของราคา ทั้งนี้ ลักษณะของราคาที่ทดสอบแนวดังกล่าว (Reaction) ไม่ว่าจะ "ทะลุ" "กลับตัว" หรืออาจชะลอตัวเป็นกรอบแคบๆ นักวิเคราะห์หลายคนจะเรียก Reaction เหล่านั้นรวม ๆ ว่า พฤติกรรมราคา
เนื่องจากการใช้ Technical Analysis ในการลงทุนนั้นคือการสร้างระบบหรือกลยุทธ์การลงทุนโดยใช้หลักสถิติและความน่าจะเป็นซึ่งคือโอกาสดังนั้นการลงทุนโดยใช้ Technical Analysis จะไม่สามารถทำให้นักลงทุนได้กำไรแบบ 100% จึงต้องคำนึงส่วนนี้ด้วย โดยขั้นตอนที่สำคัญในการใช้ Technical Analysis
จากที่กล่าวไปในหัวข้อข้างต้นทำให้เราได้รู้ว่าพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิคส่วนใหญ่มีจุดเริ่มต้นมาจากทฤษฎี Dow Theory ซึ่งแตกแขนงออกมาหลาหลายรูปแบบจึงเกิดเป็นรูปแบบในการใช้ Technical Analysis มากมายดังนี้
กราฟแท่งเทียนจะบอกคร่าว ๆ ให้คุณทราบได้ทันทีว่า ความเคลื่อนไหวด้านราคาในตลาดนั้นเป็นบวกหรือเป็นลบ และบวกหรือลบมากน้อยแค่ไหน โดยกรอบเวลาที่ปรากฏในแท่งเทียนจะมีความหลากหลายแตกต่างกันไป ยกตัวอย่างเช่น ใน Coinbase Pro กำหนดกรอบเวลาพื้นฐานไว้ที่ 6 ชั่วโมง โดยแท่งเทียนแต่ละแท่งจะแทนช่วงเวลาแบ่งย่อยที่ 5 นาที แต่ผู้ใช้จะกำหนดกรอบเวลาให้สั้นลงหรือยาวขึ้นก็ได้ (และอย่าลืมว่า ตลาดเงินดิจิทัลนั้นเปิด 24 ชั่วโมง ต่างจากตลาดหุ้น ดังนั้นราคา “เปิด” และ “ปิด” จึงเป็นราคาในช่วงเริ่มแรกและช่วงท้ายสุดของกรอบเวลาที่กำหนด) แท่งเทียนสีเขียวแสดงราคาที่เพิ่มสูงขึ้น ราคาเปิดจึงอยู่ที่ส่วนล่างสุดของเนื้อเทียน และราคาปิดอยู่ที่ส่วนบนสุด แท่งเทียนสีแดงแสดงราคาที่ลดต่ำลง ราคาเปิดจึงอยู่ที่ส่วนบนสุดของเนื้อเทียน และราคาปิดอยู่ที่ส่วนล่างสุด โดยแท่งเทียนแต่ละแท่งมีเนื้อเทียนไส้เทียน ส่วนเนื้อเทียนจะเป็นส่วนที่บอกราคาเปิดและราคาปิดในช่วงกรอบเวลาของแท่งเทียนนั้น เส้นที่ยาวจากส่วนบนสุดจรดส่วนล่างสุดของเนื้อเทียนคือไส้เทียน ซึ่งไส้เทียนเป็นส่วนที่บอกราคาสูงสุดและราคาต่ำสุดของสินทรัพย์ในช่วงกรอบเวลาการซื้อขาย
กราฟแท่งเทียนบอกอะไรกับเรา?
กราฟแท่งเทียนบอกข้อมูลได้มากกว่าความเปลี่ยนแปลงด้านราคาในแต่ละช่วงเวลา โดยเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์จะสังเกตจากรูปแบบต่าง ๆ ของแท่งเทียน เพื่อใช้เป็นตัววัดทัศนคติในตลาดและคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มของตลาดในอนาคต ซึ่งต่อไปนี้คือตัวอย่างบางส่วนของสิ่งที่เทรดเดอร์จะสังเกต ไส้เทียนยาวที่ส่วนล่างสุดของแท่งเทียนอาจหมายถึงว่า เทรดเดอร์ได้ซื้อสินทรัพย์มาไว้ในครอบครองในช่วงที่ราคาตกลง ซึ่งอาจจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ที่ดีถึงแนวโน้มการเติบโตของสินทรัพย์นั้นส่วนไส้เทียนยาวที่ส่วนบนสุดของแท่งเทียนอาจหมายถึงว่า เทรดเดอร์กำลังมองหาโอกาสทำกำไร ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงแนวโน้มในอนาคตที่จะมีการขายออกในราคาที่ต่ำหากเนื้อเทียนกินพื้นที่เกือบทั้งหมดของแท่งเทียน และมีไส้เทียนสั้นมาก (หรือไม่มีไส้เทียนปรากฏให้เห็น) ที่ด้านใดด้านหนึ่ง นั่นหมายความว่า ทัศนคติในตลาดมีแนวโน้มไปในทางบวกอย่างมาก (แท่งเทียนสีเขียว) หรือมีแนวโน้มไปทางลบอย่างมาก (แท่งเทียนสีแดง) การทำความเข้าใจกับความหมายของแท่งเทียนที่อธิบายถึงความเคลื่อนไหวของสินทรัพย์ในแต่ละประเภทหรือสภาวะในตลาดใดตลาดหนึ่งนั้น เป็นวิธีการหนึ่งในกลยุทธ์การซื้อขายที่เรียกว่า การวิเคราะห์ทางเทคนิค ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่นักลงทุนนำเอาความเคลื่อนไหวด้านราคาในอดีตมาวิเคราะห์แนวโน้มและโอกาสที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
Price Pattern คือรูปแบบราคาที่เกิดจากการเรียงตัวกันของกราฟแท่งเทียนซึ่ง Price Pattern อ่านรูปแบบราคาของแท่งเทียน ผ่านรูปทรงของกลุ่มกราฟแท่งเทียนแทนที่จะใช้แท่งเทียนเพียง 2 – 3 แท่งแบบ Price Action โดย Price Pattern จะมีหลายรูปแบบหลักการของ Price Pattern มีการกำหนดรูปแบบตายตัว และชัดเจนว่า กราฟรูปแบบไหนจะทำให้เกิดราคาเคลื่อนไหวต่อไปอย่างไร ตัวอย่างรูปแบบที่เป็นที่นิยมใช้คือ รูปแบบ Double Top หรือ Double Bottom นั่นคือถ้าเกิด Double Top กราฟจะกลับตัวลง และ Double Bottom กราฟจะกลับตัวเป็นขาขึ้น และ Pattern อื่น ๆ ที่ Trader นิยมใช้ เช่น Triple Top, Triple Bottom, Ascending Triangle, Descending Triangle, Head and Shoulders, Inverse Head and Shoulders
แนวรับ-แนวต้านในมุมมองด้านเทคนิค
จากสมมติฐานการเคลื่อนที่ของราคาหุ้น สาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นมีการเคลื่อนไหวขึ้นหรือลง เกิดจากความแตกต่างระหว่างความต้องการซื้อหุ้นและความต้องการขายหุ้นของคนในตลาด ถ้าช่วงใดความต้องการซื้อหุ้นของคนในตลาดมากกว่าความต้องการขายหุ้นจะส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวสูงขึ้น แต่ถ้าช่วงใดมีความต้องการขายของคนในตลาดมากว่าความต้องการซื้อราคาหุ้นก็จะปรับตัวลง
- แนวรับ = ระดับราคาที่มีความต้องการซื้อมาก
คำนิยามของแนวรับ คือ ระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาในปัจจุบัน ที่คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการซื้อเข้ามาอย่างมากหรือมีคนสนใจซื้อเป็นจำนวนมาก ถ้าความต้องการซื้อมีเข้ามาที่ระดับราคาที่เป็นแนวรับจำนวนมากพอ ก็จะสามารถหยุดไม่ให้ราคาปรับตัวลดต่ำลงไปกว่าระดับราคาแนวรับ และ “อาจจะ” ทำให้ราคาที่กำลังปรับตัวลดลงเกิดการกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้น โดยการหาแนวรับนิยมหาตอนที่ราคากำลังปรับตัวลดลง
- แนวต้าน = ระดับราคาที่มีคนต้องการขายมาก
แนวต้านในมุมมองของการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะมีความหมายกลับกันกับแนวรับ ซึ่งคำนิยามของแนวต้าน คือ ระดับราคาที่สูงกว่าราคาปัจจุบัน ที่คาดการณ์ว่าจะมีความต้องการขายเข้ามาอย่างมาก หรือมีคนสนใจขายเป็นจำนวนมาก ถ้าความต้องการขายมีเข้ามาจำนวนมากพอจะสามารถหยุดไม่ให้ราคาเพิ่มขึ้นไปมากกว่าระดับราคาที่เป็นแนวต้าน และ “อาจจะ” ทำให้ราคาที่กำลังปรับตัวสูงขึ้นกลับตัวจากขาขึ้นเป็นขาลง โดยการหาแนวต้านนิยมหาตอนที่ราคากำลังปรับตัวสูงขึ้น
RSI เป็นเครื่องมือชี้วัดทางเทคนิคประเภท Momentum ใช้สำหรับวัดการแกว่งตัวของราคาว่ามีภาวะการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือ การขายมากเกินไป (Oversold) โดยมีค่าตั้งแต่ 0-100 โดยค่ามาตรฐานที่ใช้กันทั่วไปนั้นจะอยู่ที่ 30 และ 70 โดยหาก RSI อยู่ในระดับที่ตํ่ากว่า 30 จะถือว่าราคาอยู่ในภาวะ “ขายมากเกินไป” (Oversold) และหากมากกว่า 70 จะถือว่าราคาอยู่ในภาวะ “ซื้อมากเกินไป” (Overbought)
ภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought)
ภาวะ “ซื้อมากเกินไป” หรือ Overbought คือ การที่ราคาพุ่งไปสูงมากๆ จนอาจจะไม่มีคนซื้อต่อ เพราะ คนเริ่มรู้สึกว่าหากซื้อที่ราคานั้นตนจะขายของไม่ออกนั่นเองตัวอย่างก็เช่น การซื้อสินค้าแบรนด์เนมรุ่น Limited หายากมาขายเก็งกำไร หากเราซื้อตอนเปิดตัวเราอาจจะได้ราคาตั้งต้น ณ ตอนนั้น แต่หากเวลาผ่านไปคนเริ่มหาของชิ้นนั้นได้ยากราคาจึงเพิ่มขึ้น โดยเราอาจจะขายต่อ ณ จุดนั้น แต่ในขณะเดียวกันคนที่ซื้อต่อเราไปหากนำไปขายต่อก็มีแนวโน้มจะไปขายต่อในราคาที่แพงขึ้นเช่นกัน เพราะซื้อมาในราคาที่แพงกว่าบวกกับการที่สินค้าเป็นของหายาก และด้วยราคาที่แพงขึ้นก็อาจจะทำให้ขายได้ยากขึ้นเช่นกัน
ภาวะขายมากเกินไป (Oversold)
ภาวะ “ขายมากเกินไป” หรือ Oversold คือ การที่ราคาลดลงมาก ๆ หรือมีแรงขายจำนวนมากจนราคาเริ่มถูก จนทำให้ผู้ที่ต้องการซื้ออยากซื้อ หากเปรียบเทียบง่าย ๆ ก็เหมือนกับการที่เราแห่เข้าไปซื้อสินค้าอย่างของกิน ของใช้ ในช่วงที่มีโปรโมชั่นหรือการลดราคา มาตุนไว้ใช้ในภายภาคหน้า
ก่อนจะกล่าวถึงความแตกต่างของ Technical Analysis และ Fundamental เรามาเข้าใจว่า Fundamental Analysis กันก่อนดีกว่าว่าคืออะไร
Fundamental Analysis เป็นวิธีการวิเคราะห์หลักฐานพื้นฐานของบริษัทหรือหลักทรัพย์ เพื่อประเมินค่าและการเปลี่ยนแปลงในราคาของหลักทรัพย์ในอนาคต โดยการวิเคราะห์ข้อมูลทางเศรษฐกิจ การเงินและปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อธุรกิจและการดำเนินงานของบริษัทโดยการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆเช่น
โดยนักลงทุนที่ใช้ Fundamental Analysis ก็มีหลากหลายสายเหมือนกันยกตัวอย่างเช่น การลงทุนแบบ VI การลงทุนแบบ VI ย่อมาจากคำว่า Value Investment หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า เพื่อรอจังหวะทำกำไรเมื่อหุ้นมีมูลค่าสูงขึ้นกว่ามูลค่าที่แท้จริงของหุ้น โดยนักลงทุนประเภทนี้จะซื้อหุ้นจากการประเมินแล้วว่าหุ้นตัวนั้น ๆ มีมูลค่าที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ที่สามารถนำมาต่อยอดการลงทุนได้ในอนาคต ซึ่งนักลงทุนที่ลงทุนในแบบ VI นี้ สามารถเรียกพวกเขาว่า Value Investor
Value Investor คือใคร มีลักษณะอย่างไร?
Value Investor คือนักลงทุนสาย VI ซึ่งเป็นนักลงทุนที่สนใจเลือกลงทุนในหุ้นคุณค่า (Value Stock) เท่านั้น โดยที่หุ้นคุณค่าจะเป็นหุ้นที่มีราคาถูกกว่าราคาที่เหมาะสมตามทฤษฎี แต่จะมีปัจจัยพื้นฐานดี รวมถึงมีอัตราการปันผลที่ดีด้วยเช่นกัน โดยนักลงทุนสาย VI จะเน้นการลงทุนเพื่อทำกำไรในระยะยาวโดยนักลงทุน VI จะทำการประเมินมูลค่าที่แท้จริงของหุ้น หรือ Intrinsic Value เพื่อใช้ในการตัดสินใจซื้อหรือขายหุ้น
เทคนิควิเคราะห์ก่อนเลือกลงทุนหุ้นสาย VI
หลายคนอาจยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกลงทุนในหุ้นสาย VI โดยเฉพาะในเรื่องการลงทุนว่าควรเลือกหุ้นตัวใดหรืออุตสาหกรรมไหน เพื่อให้มั่นใจว่าจะได้หุ้นคุณภาพที่เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว โดยเหล่านักลงทุนอาจเลือกใช้เทคนิคในการวิเคราะห์หุ้นแบบ Top Down Analysis หรือ Bottom Up Analysis ก็ได้
เช่น ในช่วงสถานการณ์โลกระบาด ทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจตกต่ำ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนั้นไม่เฟื่องฟูนัก แต่ในทางกลับกันอุตสาหกรรมที่น่าสนใจคืออุตสาหกรรมการแพทย์ ที่กลับเติบโตมากขึ้น นักลงทุนจึงควรเลือกลงทุนในหุ้นของอุตสาหกรรมการแพทย์อย่าง โรงพยาบาล บริษัทยา บริษัทประกัน และอื่น ๆ
จากที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้น การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานนั้นเป็นการศึกษาข้อมูลทางเศรษฐกิจ (เช่น ตัวเลขยอดขายปลีก, รายงานอัตราเงินเฟ้อ, ข้อมูลอัตราว่างงาน เป็นต้น) หรือข่าวและการประกาศผลประกอบการของบริษัทหรือธุรกิจเพื่อระบุเทรนด์ของตลาด และระบุจุดพลิกกลับหรือจุดเปลี่ยนทิศทางของตลาดหนึ่ง ๆ ที่อาจเกิดขึ้น แม้ว่าการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานยังคงมีประโยชน์ในตลาดสินทรัพย์บางประเภท อย่างเช่น ตลาดหุ้น เป็นต้น แต่การวิเคราะห์ทางเทคนิคกลับดูจะเป็นที่นิยมมากกว่าสาเหตุหนึ่งก็คือมีการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคมาช่วยในการตัดสินใจเทรดมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งทำให้การวิเคราะห์ดังกล่าวนี้มีประสิทธิภาพและได้ผลมากยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่ก็ยังคงเลือกใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานร่วมกันในการตัดสินใจเทรด เพราะถ้าการวิเคราะห์ทั้งสองแบบชี้ทิศทางของตลาดไปในทางเดียวกัน ก็ถือว่ามีโอกาสสูงที่จะเป็นเทรดที่กำไรได้
การวิเคราะห์ทางเทคนิค จะต้องการแค่เพียงเครื่องมือพื้นฐานไม่กี่ตัว การวิเคราะห์ทางเทคนิค นั้นบางครั้งก็บอกทิศทางตลาดและระบุจุดเข้าและออกจากตลาดได้ค่อนข้างแม่นยำ มีเครื่องมือและอินดิเคเตอร์วิเคราะห์ทางเทคนิคมากมายหลายตัวที่ช่วยระบุ Trade Setup ที่อาจทำกำไรได้
เนื่องจากมีการใช้งานการวิเคราะห์ทางเทคนิคอย่างแพร่หลาย จึงอาจส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวในตลาดอย่างฉับพลันซึ่งมาจากการที่เทรดเดอร์หลาย ๆ คนได้ผลการวิเคราะห์ทางเทคนิคในการคาดคะเนทิศทางตลาดเหมือนกันนั่นเอง
ในตลาดการเงินบางประเภท ควรนำเอาการวิเคราะห์ทางเทคนิคเข้ามาใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานอยู่เสมอ
ทำให้คุณเข้าใจสภาวะของตลาดว่าทำไมจึงเกิดสภาวะตลาดขาขึ้นและขาลง เมื่อนำไปใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคแล้วอาจสามารถบ่งชี้เทรนด์ระยะยาวได้
มีเครื่องมือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมากมายให้เลือกใช้ ซึ่งส่งผลให้เกิดการแสดงข้อมูลการวิเคราะห์ที่ขัดแย้งกันกับอินดิเคเตอร์บางตัว จึงทำให้ได้ทั้งข้อมูลดีและข้อมูลเสีย จนทำให้เกิดความสับสนในข้อมูลได้ง่าย แตกต่างจากการวิเคราะห์ปัจจัยเทคนิค เมื่อต้องคอยติดตามการประกาศข่าวด้านเศรษฐกิจหรือธุรกิจอยู่ตลอดเวลาก็ทำให้กินเวลาไปไม่น้อยเลยทีเดียว
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่บ่งชี้ถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งเพียงอย่างเดียวไม่ได้หมายความว่าตลาดจะดำเนินไปในทิศทางนั้นจริง ๆ เสมอไป ยกตัวอย่างเช่น แม้ว่าข้อมูลทางเศรษฐกิจของสหรัฐมีแนวโน้มอ่อนตัวลง แต่นั่นก็ไม่ได้แสดงให้เห็นว่าสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐจะอ่อนค่าตามไปด้วย เพราะถ้าสกุลเงินอื่น ๆ ทั้งหมดอ่อนค่าลง เทรดเดอร์ก็มีแนวโน้มที่จะเลือกถือดอลลาร์สหรัฐไว้มากกว่าเนื่องจากสหรัฐฯ คือประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก และน่าจะมีการฟื้นตัวที่เร็วกว่าประเทศอื่น ๆ นั่นเอง
การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานต้องใช้เวลานานในการฝึกฝนให้ชำนาญเพื่อให้สามารถคาดการณ์ทิศทางสภาวะตลาดที่ได้รับผลกระทบจากข้อมูลทางเศรษฐกิจ อย่างเช่น รายงานสภาวะเงินเฟ้อ และการประกาศผลประกอบการของธุรกิจ เป็นต้น
บนหลักการของการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะให้ความสำคัญกับสัญญาณทางเทคนิคที่เกิดกับหุ้นตัวนั้น โดยหุ้นที่มีสัญญาณบวก คือ หุ้นที่นักลงทุนเลือกลงทุน และการลงทุนด้วยสัญญาณทางเทคนิคสามารถแบ่งระยะของการลงทุนออกเป็นระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ตามแต่ละชนิดของเครื่องมือที่นำมาใช้วิเคราะห์เพื่อความเหมาะสม ตรงตามความต้องการของนักลงทุน ซึ่งในทางทฤษฎีของการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะใช้การวิเคราะห์อยู่ 2 รูปแบบด้วยกัน
การวิเคราะห์หุ้นทางเทคนิคจึงมีเทคนิคที่ควรรู้ 10 ข้อดังนี้
การวิเคราะห์ทางเทคนิค คือ การศึกษาพฤติกรรมของคนที่เข้ามาซื้อขายในตลาด ณ ปัจจุบันว่าเป็นอย่างไร และศึกษาพฤติกรรมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น ซึ่งการเข้าใจพฤติกรรมดังกล่าว นักลงทุนต้องอาศัยการเฝ้าสังเกตและติดตามการเคลื่อนไหวของราคาอย่างใกล้ชิดเป็นระยะเวลาที่นานพอ เนื่องจากหุ้นแต่ละตัวมีปัจจัยพื้นฐานและความน่าสนใจที่แตกต่างกัน ส่งผลให้รูปแบบการเล่นและเครื่องมือที่ใช้ก็อาจจะแตกต่างกันด้วย
การใช้เครื่องมือทางเทคนิคให้ได้ผล จำเป็นต้องซื้อขายหุ้นให้ ถูกที่ ถูกเวลา สามารถประเมินโอกาสที่จะเกิดจุดเปลี่ยนแนวโน้มในอนาคตได้อย่างสอดคล้องกับธรรมชาติและวัฏจักรของราคาที่มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา
วัฎจักร (Cycle) ของราคามี 4 ระยะ ได้แก่
ระยะสะสม: หลังจากราคาปรับตัวลงมามากพอสมควรแล้ว ในระยะนี้ราคาจะค่อนข้างนิ่ง ขึ้นลงไม่มากนัก แต่กลับมีปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้นมากจนผิดสังเกต
ระยะขาขึ้น: หลังจากที่ผ่านระยะสะสมมาได้ซักพัก ก็จะมีข่าวดีเกี่ยวกับหุ้นตัวนี้ออกมา ทำให้หุ้นตัวนี้ มีแรงซื้อไหลเข้ามาเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาหุ้นวิ่งทะยานขึ้นไปเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง
ระยะแจกจ่าย: เมื่อราคาหุ้นขึ้นมาสูงถึงจุดที่เกินมูลค่าแล้ว นักลงทุนรายใหญ่บางกลุ่มจึงถือโอกาสเทขายหุ้นตัวนี้ออกมาสวนทางกับกระแสตลาดเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ราคาในช่วงนี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบแคบ ๆ แต่มีปริมาณการซื้อขายที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ระยะขาลง: หลังจากที่หุ้นได้ถูกเทขายออกมาเป็นจำนวนมากแล้ว หุ้นตัวนี้จะเริ่มมีข่าวที่ไม่ค่อยดี (หรือ ดีน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้) ทยอยออกมาเรื่อย ๆ ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะดีดกลับขึ้นมาใหม่อีกครั้งเมื่อระยะสะสมมาถึง
ในช่วงแนวโน้มขาขึ้นนั้น ราคาจะมีโอกาสสูงขึ้นได้ง่ายกว่า ขณะที่ช่วงขาลง ราคาจะมีโอกาสลงต่อสูงกว่า การกำหนดกลยุทธ์การลงทุนให้ถูกต้องตามแนวโน้มของวัฎจักรราคา จึงเป็นเรื่องสำคัญลำดับต้น ๆ เพราะการลงทุนที่ไม่สอดคล้องกับแนวโน้มนั้น มักจะทำให้เกิดผลขาดทุนได้ง่าย
ปริมาณซื้อขายหุ้น (มักเรียกกันสั้น ๆ ว่า “Volume”) คือ ปริมาณเม็ดเงินที่เกิดขึ้นจากการซื้อขายจริงในช่วงเวลานั้น จึงสามารถบ่งบอกถึงน้ำหนักนัยสำคัญของทิศทางราคาได้เป็นอย่างดี เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการยืนยันแนวโน้มว่ายังแข็งแรงดีอยู่หรือไม่ เพื่อให้ตัดสินใจซื้อขายได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
“แนวรับ” คือ ระดับราคาที่เม็ดเงินกลุ่มใหญ่ในตลาด เห็นว่าเป็นราคาที่ถูก และเข้าซื้อเป็นจำนวนมาก ทำให้ราคาสามารถเด้งกลับขึ้นมาได้ค่อนข้างง่าย ขณะที่ “แนวต้าน” คือ ระดับราคาที่ตลาดเห็นว่าแพงเกินไป และพากันแย่งขาย ทำให้ราคาจะเคลื่อนผ่านจุดนี้ขึ้นไปต่อค่อนข้างลำบาก หากราคาสามารถวิ่งทะลุผ่านแนวรับแนวต้านเหล่านี้ได้ ราคาก็มักจะไปต่อในทิศทางนั้นอย่างมีนัยสำคัญ แนวรับและแนวต้านจึงเป็นจุดสำคัญสำหรับตัดสินใจซื้อขายหุ้นหลังจากทำการวิเคราะห์ในส่วนอื่น ๆ มาแล้ว
รูปทรงของกราฟ (Chart Pattern) คือ รูปแบบพฤติกรรมราคาที่มักเกิดขึ้นบ่อย ๆ โดยปกติจะมีลักษณะคล้ายกับการนำเส้นแนวรับ แนวต้าน และแนวโน้มมาผสมผสานกัน การทำความเข้าใจกับ Pattern แบบต่างๆ จะช่วยให้ประเมินหาจุดกลับตัวของแนวโน้มได้อย่างละเอียดและชัดเจนยิ่งขึ้น
การวิเคราะห์ข้อมูลจากช่วงเวลาที่แตกต่างกัน (Time Frame) จะทำให้สามารถมองเห็นและแยกแยะถึงแนวโน้มของราคาในระยะต่าง ๆ ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาวได้ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่นักลงทุนจะต้องเข้าใจ เพื่อป้องกันการเข้าซื้อขายหุ้นที่ผิดจังหวะ
เครื่องมือต่าง ๆ มักมีข้อจำกัดในตัวมันเอง เช่น เครื่องมือประเภทตัวชี้วัด (Indicator) นั้น มีทั้งแบบที่เหมาะกับช่วงตลาดที่มีแนวโน้ม (Trend Following) และแบบที่เหมาะกับช่วงที่ตลาดยังมีแนวโน้มไม่ชัดเจน แต่มีการเคลื่อนไหวในระดับที่มากพอ (Oscillator) นอกจากนั้น เครื่องมือเหล่านี้ยังจำเป็นต้องนำไปใช้ประกอบกับเครื่องมืออื่น ๆ เช่น แนวรับ แนวต้าน รูปทรงกราฟ และปริมาณการซื้อขายด้วย การใช้เครื่องมืออย่างผิดวิธี นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มักจะพลาดกันอยู่บ่อยๆ จึงควรระวังให้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการใช้งานเครื่องมือผิดประเภทจนส่งผลเสียต่อการลงทุนได้
เครื่องมือในการวิเคราะห์ทางเทคนิคทุกชนิด ต่างก็มีจุดแข็งและจุดอ่อนในตัวของมันเอง นอกจากจะเลือกใช้เครื่องมือให้ถูกประเภทแล้ว ยังไม่ควรใช้เครื่องมือเยอะเกินไป เพราะจะทำให้เกิดสัญญาณซื้อขายที่ซ้ำซ้อนและขัดแย้งกันเอง จนไม่สามารถกำหนดกลยุทธ์การลงทุนที่เหมาะสมได้
ไม่มีเครื่องมือใด สามารถบอกอนาคตได้อย่างแม่นยำ 100% ดังนั้น ก่อนซื้อหุ้นทุกครั้ง เราจึงควรกำหนด “ราคาตัดขาดทุนที่ยอมรับได้” (จุด Cut Loss) เอาไว้ล่วงหน้า เพื่อรับมือกรณีที่ราคาหุ้นไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้และป้องกันการขาดทุนหนัก รวมถึง “ราคาสำหรับขายทำกำไร” (จุด Take Profit) เพื่อป้องกันไม่ให้ขายช้าเกินไป จนกำไรที่มีอยู่กลับกลายเป็นขาดทุน
อย่างไรก็ตาม เครื่องมือทางเทคนิคแต่ละประเภทจะให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน เครื่องมือตัวใดจะดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เลือกนำไปใช้วิเคราะห์หุ้น เช่น ถ้าเป็นขาขึ้นที่ชัดเจน การใช้เครื่องมือประเภท Trend Following ได้แก่ Trend Lind, Moving Average หรือ MACD จะให้ผลลัพธ์ที่ดี ตรงกันข้าม หากเป็นช่วงที่กำลังจะสิ้นสุดขาลงหรือขาลง เครื่องมือประเภท Counter Trend ได้แก่ RSI และ Stochastic จะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า ดังนั้น นักลงทุนต้องศึกษาข้อมูลและทดลองใช้เครื่องมือแต่ละประเภทให้คล่อง หากทำได้ก็จะเลือกหุ้นลงทุนได้ถูกต้อง และหากมีจังหวะการลงทุนที่ดี ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่น่าประทับใจ
คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
Disclaimer