Blockchain ระบบการเงินแบบใหม่ที่จะพลิกทุกอุตสาหกรรม

มิถุนายน 19, 2024

thumbnail

 

ระบบบล็อกเชน (Blockchain) คำนี้คงเป็นคำคุ้นหูที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันในปัจจุบันที่ส่งผลกระทบไม่ทางตรงก็ทางอ้อมกับชีวิตระบบการทำงานในทุกอุตสาหกรรม เมื่อพูดถึงอุตสาหกรรมที่มักจะถูกพูดถึงในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหนีไม่พ้น Blockchain กับ ธนาคาร ที่สร้างการเปลี่ยนแปลงทั้งการเกิดขึ้นของสินทรัพย์สำหรับการลงทุนรูปแบบใหม่ และการพัฒนาระบบชำระเงิน

 

Blockchain คืออะไร

ก่อนที่จะเข้าใจบทบาทและความสัมพันธ์ของ Blockchain กับ ธนาคาร สิ่งแรกที่ควรทำความเข้าใจ คือ การทำงานของระบบบล็อกเชน ว่ามีการทำงานอย่างไร มีข้อดีข้อเสียอย่างไร 

 

ทำความเข้าใจ Blockchain

 

Blockchain มีรูปแบบการเก็บและส่งต่อข้อมูลแบบไม่ต้องมีคนกลาง หรือเรียกอย่างเป็นทางการว่า เทคโนโลยีการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Distributed Ledger Technology) ซึ่งเป็นรูปแบบการบันทึกข้อมูลโดยใช้หลักการเข้ารหัส (Cryptography) ร่วมกับกลไกฉันทามติ (Consensus) ที่แตกต่างกัน โดยข้อมูลที่ถูกบันทึกใน Blockchain นั้นจะสามารถทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ยาก ช่วยเพิ่มความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูล นั่นทำให้หนึ่งในตัวอย่างการใช้งานที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ การประยุกต์ใช้จุดเด่นของ Blockchain กับ ธนาคารโดยเฉพาะระบบการชำระเงินและสกุลเงินดิจิทัล

 

แล้ว Blockchain เกี่ยวข้องอะไรกับสกุลเงินดิจิทัล ในช่วงปี 2020 ที่ผ่านมาสกุลเงินดิจิทัลได้รับความสนใจจากผู้คนมากขึ้นจากการปรับตัวสูงขึ้นของราคา Bitcoin และ Ethereum ซึ่งเกิดจากหลากหลายปัจจัย ทั้งเรื่องการพัฒนาที่ดีขึ้นของเทคโนโลยี รวมถึงตัวอย่างการใช้งานในโลกแห่งความจริงมากขึ้น สิ่งที่เชื่อมต่อระหว่าง Blockchain และสกุลเงินดิจิทัล คือพื้นฐานของการทำงานของสกุลเงินดิจิทัลที่จำเป็นต้องใช้หลักการเข้ารหัส โดยไม่มีตัวกลาง และต้องกระจายข้อมูลไปยังเครือข่ายต่าง ๆ ทำให้ระบบบล็อกเชนเป็นเทคโนโลยีโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการทำงานของสกุลเงินดิจิทัล

 

โดยทั่วไประบบบล็อกเชนมีทั้งหมด 4 ประเภท แต่บางแหล่งอาจบอกว่ามี 3 ประเภท ได้แก่ Public Blockchain, Private Blockchain, Consortium Blockchain และ Hybrid Blockchain

  • Public Blockchain หรือ เครือข่ายบล็อกเชนแบบเปิดสาธารณะ เป็นบล็อกเชนที่เป็น Open Network ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมได้ ทั้งในด้านการอ่าน แก้ไข และตรวจสอบความถูกต้อง
  • Private Blockchain หรือ เครือข่ายบล็อกเชนแบบปิด เป็นบล็อกเชนที่สามารถเข้าร่วมได้เฉพาะบุคคลที่ได้รับคำเชิญหรือได้รับการอนุญาตเท่านั้น โดยจะมีการกระจายศูนย์เพียงบางส่วน เหมาะกับการใช้งานแบบองค์กร หรือธุรกิจที่ต้องการใช้บล็อกเชนสำหรับงานภายในเท่านั้น
  • Consortium Blockchain เป็นเครือข่ายบล็อกเชนที่รวมข้อดีของ Public Blockchain และ Private Blockchain โดยมีองค์กรทำหน้าที่รับผิดชอบในการดูแลบล็อกเชนและกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล ใช้ร่วมกันหลายองค์กรในอุตสาหกรรมเดียวกัน
  • Hybrid Blockchain เป็นเครือข่ายบล็อกเชนที่นำเอารูปแบบการทำงานของเครือข่ายบล็อกเชนแบบปิดและแบบสาธารณะเข้ามาใช้ร่วมกัน โดยสามารถตั้งค่าระบบแบบปิดเพื่อใช้สิทธิ์ในการได้รับการอนุญาต ควบคู่กับระบบแบบเปิดได้ ซึ่งจะมีการควบคุมการเข้าถึงข้อมูลเฉพาะและเปิดให้สาธารณะเข้าถึงข้อมูลส่วนอื่น ๆ ได้ด้วย

 

เหตุผลที่ Blockchain จะพลิกวงการการเงิน

 

เหตุผลที่ Blockchain จะพลิกวงการการเงิน

 

ด้วยการต่อยอดเทคโนโลยี Blockchain ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของวงการการเงินคือการผสมผสานเทคโนโลยี Blockchain กับ ธนาคารทำให้เกิดโลกการเงินที่มีระบบการเงินที่สามารถลดบทบาทของตัวกลางหรืออาจถึงขั้นไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางได้เลย แต่จะมีเหตุผลอะไรบ้างที่ Blockchain จะสามารถช่วยพัฒนาระบบการเงินยุคปัจจุบันได้

 

Transprency เพิ่มความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเอง อุตสาหกรรมการเงินมีข้อจำกัดเรื่องความน่าเชื่อถือที่ผู้ใช้งานจำเป็นต้องเชื่อใจตัวกลางอย่างธนาคารโดยที่ไม่สามารถตรวจสอบได้ หรือยากต่อการขอเข้าไปตรวจสอบ จากเหตุผลด้านความปลอดภัยของระบบธนาคารที่ต้องจำกัดสิทธิไม่ให้บุคคลภายนอกเข้าถึงข้อมูลได้

 

แต่ด้วยระบบบล็อกเชนที่ทำงานด้วยระบบจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ที่จะถูกกระจายไปบันทึกในหลาย ๆ โหนด (Node) ซึ่งสามารถเปิดโอกาสให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบธุรกรรมในระบบได้ โดยแต่ละรายการสามารถตรวจสอบและยืนยันได้จากหลายฝ่าย นั่นหมายความว่า ธุรกรรมทางการเงินทุกอย่างจะมีความโปร่งใสและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงจากการทุจริต และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับระบบการเงิน

 

Reduce Cost ลดต้นทุนในการทำธุรกรรมของ Blockchain กับ ธนาคาร ธุรกรรมทางการเงินจะเกิดขึ้นแบบตัวต่อตัว (Peer-to-Peer) โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางที่ให้บริการทางการเงินหลายต่อ ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการต่าง ๆ อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อเทียบกับระบบการเงินแบบเดิมที่ต้องพึ่งพาธนาคารและสถาบันการเงินกลาง

 

อย่างที่รู้กันว่าเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้น จะช่วยทำให้สามารถลดต้นทุนของระบบต่าง ๆ ได้มากขึ้น จากการที่สามารถรองรับจำนวนการทำธุรกรรมได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากการลดระยะเวลาหรือการลดการใช้ทรัพยากรบุคคลภายในองค์กร ไม่ว่าจะเป็น Front Office, Mid Office และ Back Office ซึ่งส่วนนี้จะส่งผลดีอย่างมากสำหรับองค์กรที่มีระบบที่ต้องรองรับการใช้งานจำนวนมาก

 

Efficiency ความรวดเร็วในการทำธุรกรรม Blockchain ช่วยให้ธุรกรรมทางการเงินสามารถเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยไม่ต้องพึ่งพาเวลาทำการของธนาคาร ธุรกรรมสามารถดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง และการชำระเงินระหว่างประเทศก็จะมีความรวดเร็วมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

 

เนื่องจากโดยปกติแล้ว ช่วงเวลาประมาณ 23:00 ถึง 03:30 น. (ช่วงเวลาขึ้นอยู่กับธนาคารผู้ให้บริการ) ของทุกวันเป็นช่วงระบบประมวลผลของธนาคาร ที่ธนาคารแต่ละแห่งต้องทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ส่งผลให้ช่วงเวลาดังกล่าวอาจมีการจำกัดการให้บริการในบางอย่าง ซึ่งธนาคารได้แนะนำให้เว้นช่วงการทำรายการและเข้าทำรายการใหม่อีกครั้งหรือหลีกเลี่ยงการทำ

ธุรกรรมช่วงเวลาดังกล่าว

 

Programable การสามารถใส่เงื่อนไขในโปรแกรมได้ผ่านการใช้เทคโนโลยี Smart Contract ที่ทำงานอยู่ในระบบซึ่งเป็นการทำให้ Blockchain กับ ธนาคาร พัฒนาขึ้นอย่างก้าวกระโดด ผ่านการกำหนดสัญญาด้วย Smart Contract ที่เป็นคำสั่งทางคอมพิวเตอร์ สามารถออกแบบและกำหนดเงื่อนไข ที่ไม่สามารถแก้ไขได้และสามารถทำงานได้โดยอัตโนมัติ โดยที่ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบเงื่อนไขการทำงานได้อย่างโปร่งใส เปิดเผย และมั่นใจได้ว่าโปรแกรมจะทำงานตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้า โดยไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางมาช่วยดำเนินการหรือตรวจสอบ

 

Boarderless ด้วยเทคโนโลยีระบบการเงินในปัจจุบัน ตามปกติแล้วการทำธุรกรรมจำเป็นต้องพึ่งพาตัวกลางอย่างธนาคาร ตัวอย่างเช่นหากต้องการใช้บริการโอนเงินระหว่างบัญชีธนาคารเดียวกัน ธนาคารที่เป็นตัวกลางที่ให้บริการต้องทำการตรวจสอบยอดเงินคงเหลือของผู้ที่ต้องการโอน ตรวจสอบเลขที่บัญชีของผู้รับเงินว่ามีตัวตนไหม ก่อนจะทำการอัพเดทยอดเงินคงเหลือของบัญชีในระบบของธนาคารให้เป็นปัจจุบัน

 

ขั้นตอนนี้จะยิ่งซับซ้อนและกินระยะเวลามากขึ้นเมื่อบัญชีผู้ต้องการโอนเงินและผู้รับเงินใช้บริการคนละธนาคารกัน โดยแต่ละธนาคารจำเป็นต้องทำการตรวจสอบข้อมูลภายในระบบธนาคารของตนเองก่อนจะอัพเดทยอดเงินคงเหลือของบัญชีในระบบให้ตรงกันทั้งในระบบของ 2 ธนาคาร

 

แต่ในชีวิตจริงเรื่องราวจะซับซ้อนมากขึ้น เนื่องจากเราอยู่ในยุค Globalization ที่มีธุรกรรมระหว่างประเทศเกิดขึ้นตลอดเวลาทำให้ธนาคารในประเทศจำเป็นต้องเชื่อมต่อระบบกับธนาคารในต่างประเทศ โดยปัจจุบันมีการใช้ระบบสื่อสารกลางที่เชื่อมต่อแต่ละธนาคารเข้าด้วยกันอย่าง SWIFT หรือชื่อเต็มว่า Society for Worldwide Interbank Financial Telecommunication เป็นระบบการสื่อสารสำหรับสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ก่อตั้งขึ้นในปี 1973 จากความร่วมมือของธนาคาร 239 แห่งจาก 15 ประเทศทั่วโลก เพื่อแก้ไขปัญหาการสื่อสารระหว่างธนาคารในการส่งข้อความข้ามพรมแดน โดยมีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ในประเทศเบลเยียม

 

แต่ด้วยการมาถึงของเทคโนโลยี Blockchain กับ ธนาคารพาณิชย์ ทำให้ตัวกลางทางการเงินถูกลดบทบาทลง พร้อมทั้งทำให้ข้อจำกัดในการเข้าถึงระบบการเงินลดลง โดยผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องเปิดบัญชีธนาคารกับผู้ให้บริการในแต่ละประเทศ แค่เพียงสร้าง Wallet หรือกระเป๋าเก็บสินทรัพย์ดิจิทัล กับระบบเครือข่ายที่ต้องการจากนั้นก็สามารถทำธุรกรรมร่วมกับผู้ที่อยู่ในเครือข่ายได้ทั่วโลก

 

อย่างไรก็ตามกำแพงสำคัญที่ผู้พัฒนาระบบบล็อกเชนทั่วโลกกำลังก้าวข้ามคือข้อจำกัดของระบบที่เรียกว่า “Blockchain Trilemma” เมื่อใดที่สามารถก้าวข้ามกำแพงนี้ไปได้ การพัฒนาระหว่าง Blockchain กับ ธนาคารจะเข้าสู่ Mass Adoption อย่างก้าวกระโดดก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว Blockchain Trilemma คืออะไร?

 

Blockchain Trilemma คือแนวคิดที่กล่าวถึงปัญหาและความท้าทายในการสร้างระบบบล็อกเชนที่ต้องสามารถสร้างและต้องบรรลุได้ครบทั้งสามปัจจัยสำคัญในเวลาเดียวกัน โดยปกติแล้ว บล็อกเชนมักต้องเลือกระหว่างสองในสามปัจจัยนี้ ได้แก่ 

  • การกระจายศูนย์ (Decentralization)
  • ความปลอดภัย (Security)
  • ความสามารถในการปรับขนาด (Scalability)

 

Decentralization การกระจายอำนาจการควบคุมเครือข่ายให้กับผู้ใช้งานหลายคนแทน ที่จะให้มีผู้ควบคุมเพียงไม่กี่ราย การกระจายศูนย์ช่วยเพิ่มความยุติธรรมและความโปร่งใส แต่บางครั้งก็อาจทำให้การประมวลผลธุรกรรมช้าลง จากการที่ต้องกระจายข้อมูลไปยังเครือข่ายจำนวนมาก ซึ่งผู้สร้างต้องพิจารณาจากเป้าหมายกลุ่มผู้ใช้งานและอุตสาหกรรมที่ระบบบล็อกเชนต้องการกลายมาเป็นโครงสร้างพื้นฐาน บางอุตสาหกรรมจำเป็นต้องทำธุรกรรมให้เสร็จภายในหลักนาที วินาที หรือน้อยกว่าวินาที

 

Security การปกป้องเครือข่ายจากการโจมตีและการทุจริตต่าง ๆ ความปลอดภัยเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความน่าเชื่อถือของบล็อกเชน แต่การเพิ่มความปลอดภัยมักมาพร้อมกับต้นทุนที่สูงขึ้นและการลดทอนความสามารถในการปรับขนาด เพราะหากระบบความปลอดภัยสูงยากต่อการโจมตี ก็ย่อมที่จะยากต่อผู้ใช้งานในการเข้ามาใช้งาน รวมถึงผู้พัฒนา DApps ในเครือข่ายที่มีขั้นตอนเพิ่มขึ้น

 

Scalability ความสามารถในการรองรับปริมาณธุรกรรมจำนวนมากในเวลาเดียวกัน โดยไม่ทำให้ประสิทธิภาพของเครือข่ายลดลง ความสามารถในการปรับขนาดที่ดีจะทำให้บล็อกเชนสามารถใช้งานได้ในระดับโลก แต่การบรรลุข้อนี้อาจทำให้ต้องลดทอนการกระจายศูนย์หรือความปลอดภัย

 

การแก้ไข Blockchain Trilemma ยังเป็นความท้าทายที่นักพัฒนาบล็อกเชนกำลังพยายามค้นหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อให้ได้ระบบที่สมดุลและมีประสิทธิภาพในทุก ๆ ด้าน

 

Blockchain ประกอบด้วย 4 ส่วนหลักสำคัญ

Blockchain คือเทคโนโลยีพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกและแลกเปลี่ยนข้อมูล โดยระบบนี้ประกอบด้วย 4 ส่วนหลักที่ทำงานร่วมกันอย่างลงตัว เพื่อให้เกิดความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือในทุกธุรกรรมที่เกิดขึ้น

 

กล่องเก็บข้อมูล (Block):

กล่องข้อมูล หรือ Block คือที่เก็บรวบรวมข้อมูลของธุรกรรมในแต่ละรอบ เมื่อมีการทำธุรกรรมใหม่เกิดขึ้น ระบบจะบรรจุข้อมูลเหล่านั้นลงใน Block ใหม่ ๆ ซึ่ง Block แต่ละใบจะถูกแจกจ่ายไปยังผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเครือข่าย จุดเด่นคือข้อมูลที่ถูกบันทึกใน Block ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถมั่นใจในความถูกต้องและความสมบูรณ์ของข้อมูลที่ได้รับ

 

การเชื่อมโยงกล่องข้อมูล (Chain):

หลังจากที่มีการสร้าง Block ใหม่ ๆ ข้อมูลเหล่านี้จะถูกเชื่อมต่อเข้าด้วยกันเป็นห่วงโซ่ หรือ Chain ผ่านกระบวนการ Hash Function ซึ่งทำหน้าที่เปรียบเสมือนลายนิ้วมือของข้อมูลในแต่ละ Block ค่าที่ได้จาก Hash มีความเฉพาะตัวและแทบไม่มีโอกาสซ้ำกัน จึงสามารถนำมาใช้เป็นหลักฐานยืนยันความถูกต้องและเป็นตัวแทนของข้อมูลต้นฉบับได้อย่างมีประสิทธิภาพ กระบวนการนี้ช่วยให้เกิดความโปร่งใสและป้องกันการปลอมแปลงข้อมูลในระบบ

 

การตกลงร่วมกัน (Consensus):

หนึ่งในหัวใจหลักของ Blockchain คือความสามารถในการบรรลุข้อตกลงร่วมกันระหว่างผู้ใช้งานในเครือข่าย (Consensus) ผ่านอัลกอริทึมต่าง ๆ เช่น Proof of Work (PoW) หรือ Proof of Stake (PoS) วิธีการเหล่านี้จะช่วยให้ทุกฝ่ายมีความเข้าใจและยอมรับกฎเกณฑ์เดียวกันในการดำเนินการระบบ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบความถูกต้องของธุรกรรมหรือการเพิ่ม Block ใหม่เข้าไปใน Chain สิ่งนี้ช่วยเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความปลอดภัยให้กับระบบอย่างยิ่ง

 

การตรวจสอบและยืนยัน (Validation):

ขั้นตอนสุดท้ายคือการตรวจสอบ (Validation) ซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในแต่ละรอบของการทำธุรกรรม เมื่อมีการสร้าง Block ใหม่ ระบบจะต้องมีการยืนยันความถูกต้องของข้อมูลเหล่านั้นจากผู้ใช้คนอื่น ๆ ในเครือข่าย ผ่านกระบวนการที่ได้ตกลงร่วมกันไว้ การตรวจสอบนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ข้อมูลธุรกรรมที่ถูกบันทึกลงใน Block เป็นข้อมูลที่ถูกต้องและเชื่อถือได้ จากนั้น Block ที่ได้รับการตรวจสอบแล้วก็จะถูกนำมาเชื่อมโยงกับ Chain เดิม ทำให้เกิดระบบฐานข้อมูลแบบกระจายศูนย์ที่ไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้ง่าย

 

การประยุกต์ใช้ Blockchain

 

หากพูดถึงตัวการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบกับคนส่วนใหญ่ในระบบมากที่สุด คงจะหนีไม่พ้นการใช้ Blockchain กับ ธนาคาร ซึ่งการประยุกต์ใช้เทคโนโลยี Blockchain มีขอบเขตที่กว้างมากซึ่งสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบการโอนเงิน ระบบชำระเงิน การนำสินทรัพย์ในโลกปัจจุบันเข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างการทำ Tokenization ด้วยลักษณะเด่นของ Blockchain ที่เป็นระบบกระจายข้อมูลที่มีความโปร่งใสและปลอดภัยสูง จึงทำให้มีการนำไปประยุกต์ใช้เพื่อแก้ปัญหาและเพิ่มประสิทธิภาพในด้านต่าง ๆ ดังนี้

 

Tokenization

 

โครงการที่ธนาคารแห่งประเทศไทยร่วมกับธนาคารพาณิชย์ในการพัฒนา โครงการสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง หรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) เป็นเงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางในแต่ละประเทศ สำหรับประเทศไทย CBDC นั้นเป็นเสมือนเงินบาทหรือธนบัตรที่ออกโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งสามารถใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ รักษามูลค่า และเป็นหน่วยวัดทางบัญชีได้ โดยทั้งหมดนี้อยู่ในรูปแบบดิจิทัลที่ได้มีการต่อยอดเป็นโครงการย่อยอย่าง

 

โครงการ mBridge หรือ "Multiple-Central Bank Digital Currency Bridge" เป็นความร่วมมือในการพัฒนา Wholesale CBDC เพื่อการโอนเงินระหว่างประเทศ โดยมีการศึกษาร่วมกับธนาคารกลางฮ่องกง (HKMA), สถาบันศึกษาสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PBC DCI), ธนาคารกลางสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (CBUAE) และศูนย์พัฒนานวัตกรรมของธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BISIH) ในฮ่องกง

 

โครงการ mBridge เป็นการทดลองสร้างระบบที่สถาบันการเงินของแต่ละประเทศสามารถเชื่อมต่อกันโดยตรงตลอด 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องพึ่งพาตัวกลาง (Corresponding Bank) ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่าง ๆ เช่น ความเสี่ยงในการชำระเงิน (Settlement Risk) ความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) และความเสี่ยงในการดำเนินงาน (Operational Risk) ระบบนี้จะทำให้การโอนเงินระหว่างประเทศมีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วยต้นทุนที่ลดลง จากการศึกษาเบื้องต้นพบว่า ระยะเวลาการโอนเงินระหว่างประเทศสามารถลดลงเหลือเพียงไม่กี่วินาที เมื่อเทียบกับระบบปัจจุบันที่ใช้เวลาประมาณ 3-5 วัน

 

นอกจากนั้นแล้วในประเทศไทยได้มีการนำ Blockchain กับ ธนาคารพาณิชย์มาร่วมกันจนก่อให้เกิดโครงการ Retail CBDC หรือ เงินบาทที่เปลี่ยนรูปแบบจากธนบัตรมาเป็นรูปแบบดิจิทัลซึ่งออกโดยธนาคารกลาง เพื่อให้ภาคธุรกิจและประชาชนสามารถเข้าถึงและตอบสนองต่อการพัฒนานวัตกรรมทางการเงินภายใต้การเงินอนาคตที่เข้าสู่โลกดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ

โดยปัจจุบันได้มีการทดสอบใน Sandbox โดยนำมาใช้ชำระค่าสินค้าบริการในพื้นที่เฉพาะ และในกลุ่มผู้ใช้งานประมาณ 10,000 ราย ที่กำหนดโดย ธปท. และภาคเอกชนที่ร่วมทดสอบ 3 ราย ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งการทดสอบนี้จะนำเทคโนโลยีของบริษัท Giesecke+Devrient4 มาประยุกต์ใช้ โดยจะเริ่มตั้งแต่ช่วงปลายปี 2565 ไปจนถึงกลางปี 2566

 

หมายเหตุ

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Merkle Capital คือผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานก.ล.ต. บริษัทให้การดูแลและบริหารเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและการบริหารจัดการ