Stop Loss คืออะไร
Stop Loss คือประเภทของคำสั่งซื้อขายที่ใช้ในการจำกัดความเสี่ยงในการลงทุน โดยเป็นคำสั่งที่นักลงทุนกำหนดให้ขายสินทรัพย์ (เช่น หุ้น ทองคำ หรือสินทรัพย์ดิจิทัล) อัตโนมัติเมื่อราคาของสินทรัพย์นั้นลดลงถึงระดับที่กำหนดไว้ล่วงหน้า การใช้ Stop Loss ช่วยป้องกันไม่ให้นักลงทุนขาดทุนเกินกว่าที่ตั้งใจไว้
ตัวอย่างเช่น หากคุณซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ 100 บาท และตั้ง Stop Loss ไว้ที่ 90 บาท เมื่อราคาหุ้นลดลงถึง 90 บาท ระบบจะขายหุ้นนั้นทันทีเพื่อป้องกันการขาดทุนมากขึ้นการใช้ Stop Loss จะช่วยให้นักลงทุนสามารถควบคุมความเสี่ยงและป้องกันขาดทุนมากเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ได้ อย่างไรก็ตาม Stop Loss ก็มีข้อจำกัดบางประการ เช่น หากราคาหุ้นผันผวนรุนแรง อาจขายออกโดยที่ราคาต่ำกว่า Stop Loss ที่ตั้งไว้ เป็นต้น ดังนั้นจึงต้องใช้ควบคู่กับการวิเคราะห์อย่างรอบคอบด้วย
ถ้าหากเราสามารถตั้ง Stop Loss ได้อย่างเหมาะสมก็จะทำให้ผลลัพธ์จากการลงทุนแตกต่างจากนักลงทุนที่ไม่ได้มีการวาง Stop Loss อย่างมีนัยยะเพราะเมื่อพูดถึงการลงทุนทั้งการลงทุนโดยใช้ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) หรือการลงทุนแบบเทคนิคคอลผ่านการดูกราฟ (Technical Analysis) ย่อมมีโอกาสที่ผลลัพธ์จะไม่ตรงกับที่เราคาดการณ์ไว้ โดยในบทความนี้จะชวนนักลงทุนมารู้จักตัวอย่างการกำหนดจุด Stop Loss ที่ได้รับความนิยมในแวดวงการลงทุน
กำหนดจุด Stop Loss เป็นเปอร์เซ็นต์
การกำหนดจุด Stop Loss เป็นเปอร์เซ็นต์เป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความนิยมและใช้งานง่ายที่สุดในการจัดการความเสี่ยงในการลงทุนในทุกสินทรัพย์ วิธีนี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นจากการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยการกำหนดเปอร์เซ็นต์การขาดทุนที่ยอมรับได้ล่วงหน้า ก่อนการตัดสินใจลงทุนโดยการกำหนดเปอร์เซ็นต์ขึ้นอยู่กับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และอัตราส่วน Risk Reward ที่ต้องการ
วิธีการกำหนดจุด Stop Loss เป็นเปอร์เซ็นต์
- กำหนดเปอร์เซ็นต์การขาดทุน: นักลงทุนต้องกำหนดเปอร์เซ็นต์ของการขาดทุนที่ยอมรับได้ อาจเป็น 3%, 5%, 10%, หรือ 20% ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่นักลงทุนยอมรับได้ ตัวอย่างเช่น หากนักลงทุนซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ 100 บาท และกำหนด Stop Loss ไว้ที่ 10% ราคาหุ้นจะถูกขายอัตโนมัติเมื่อราคาลดลงถึง 90 บาท
ข้อดีของการกำหนดจุด Stop Loss เป็นเปอร์เซ็นต์
- ง่ายและรวดเร็ว: การกำหนด Stop Loss เป็นเปอร์เซ็นต์ทำได้ง่ายและไม่ต้องวิเคราะห์ซับซ้อน นักลงทุนทุกคนสามารถใช้วิธีนี้ได้ไม่ว่าจะมีประสบการณ์มากหรือน้อย
- เหมาะสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่เริ่มต้นลงทุน: โดยสามารถทดลองหาเปอร์เซ็นต์ของการขาดทุนที่ยอมรับได้ผ่านการทดลองกำหนดเปอร์เซ็นต์ เช่น หากกำหนดไว้ที่ 5% แล้วรู้สึกยอมรับมูลค่าของการขาดทุนไม่ได้อาจพิจารณาขยับลดเปอร์เซ็นต์มาอยู่ที่ 4% แต่หากมองไว้ว่าการใช้ Stop Loss ที่ 5% ในสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงทำให้ถึงจุดที่ต้องถูกบังคับขายก่อนที่ราคาจะปรับตัวไปตามแผนที่วางไว้อาจพิจารณาขยับขึ้นเป็น 6%
- ควบคุมความเสี่ยง: ช่วยให้สามารถควบคุมความเสี่ยงในการขาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้นักลงทุนไม่สูญเสียเงินทุนเกินกว่าที่ตั้งใจไว้
- ความยืดหยุ่น: นักลงทุนสามารถปรับเปอร์เซ็นต์การขาดทุนได้ตามความต้องการและสถานการณ์ตลาด
ข้อควรระวัง
- ไม่เหมาะกับทุกสถานการณ์: บางครั้งตลาดมีความผันผวนสูง การกำหนดเปอร์เซ็นต์การขาดทุนอาจทำให้นักลงทุนขายหุ้นในราคาต่ำกว่าความเป็นจริง หากตลาดกลับมาดีขึ้นในภายหลัง
- ไม่คำนึงถึงปัจจัยพื้นฐาน: การกำหนดจุด Stop Loss เป็นเปอร์เซ็นต์ไม่คำนึงถึงปัจจัยพื้นฐานของบริษัทหรือตลาด ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจขายหุ้นที่มีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว
- ทั้งนี้การกำหนดเปอร์เซ็นต์ของการขาดทุนที่ยอมรับได้ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น เงินลงทุน ประสบการณ์การลงทุน สินทรัพย์ที่ต้องการลงทุน หรือแม้กระทั้งระยะเวลาที่วางแผนไว้ในการลงทุน เช่น ระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว จึงไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวนักลงทุนควรพิจารณาเรื่องระดับของการ Stop Loss ให้เหมาะสมกับรูปแบบการลงทุนของตนเอง
กำหนดจุด Stop Loss ตามแนวรับหรือแนวต้าน
การกำหนดจุด Stop Loss ตามแนวรับหรือแนวต้านเป็นอีกหนึ่งวิธีที่นักลงทุนใช้ในการบริหารความเสี่ยง แนวรับและแนวต้านคือระดับราคาที่หุ้นมักจะไม่ลดลงต่ำกว่าหรือไม่เพิ่มขึ้นสูงกว่า ทำให้จุดเหล่านี้เป็นจุดสำคัญในการตั้ง Stop Loss
แนวรับและแนวต้านคืออะไร
- แนวรับ (Support): เป็นระดับราคาที่หุ้นมีแนวโน้มจะไม่ลดลงต่ำกว่า เนื่องจากมีนักลงทุนจำนวนมากเข้าซื้อเมื่อราคาหุ้นลดลงถึงระดับนี้ ทำให้เกิดแรงซื้อที่ช่วยยับยั้งการลดลงของราคา
- แนวต้าน (Resistance): เป็นระดับราคาที่หุ้นมีแนวโน้มจะไม่เพิ่มขึ้นสูงกว่า เนื่องจากมีนักลงทุนจำนวนมากเข้าขายเมื่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้นถึงระดับนี้ ทำให้เกิดแรงขายที่ช่วยยับยั้งการเพิ่มขึ้นของราคา
แนวรับแนวต้านถือเป็นเครื่องมือพื้นฐานสำหรับนักลงทุนที่ชื่นชอบแนวคิดแบบเทคนิคคอลผ่านการดูกราฟ (Technical Analysis)
วิธีการกำหนดจุด Stop Loss ตามแนวรับหรือแนวต้าน
- ระบุแนวรับและแนวต้าน: ใช้เครื่องมือทางเทคนิค เช่น กราฟราคาและปริมาณการซื้อขาย เพื่อระบุแนวรับและแนวต้านของหุ้น
- ตั้งจุด Stop Loss ใต้แนวรับ: ในกรณีที่คุณซื้อหุ้น ควรตั้งจุด Stop Loss ใต้แนวรับเล็กน้อย เพื่อป้องกันการขาดทุนหากราคาหุ้นลดลงต่ำกว่าแนวรับ
- ตั้งจุด Stop Loss เหนือแนวต้าน: ในกรณีที่คุณขายหุ้น ควรตั้งจุด Stop Loss เหนือแนวต้านเล็กน้อย เพื่อป้องกันการขาดทุนหากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นสูงกว่าแนวต้าน
ตัวอย่างการใช้งาน สมมติว่าคุณซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ 50 บาท และระบุว่าแนวรับอยู่ที่ 45 บาท คุณอาจตั้งจุด Stop Loss ไว้ที่ 44 บาท เพื่อขายหุ้นอัตโนมัติหากราคาหุ้นลดลงต่ำกว่า 44 บาท ซึ่งเป็นการป้องกันการขาดทุนที่มากเกินไป
ข้อดีของการกำหนดจุด Stop Loss ตามแนวรับหรือแนวต้าน
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค: วิธีนี้ใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งทำให้นักลงทุนสามารถใช้ข้อมูลทางสถิติและกราฟมาประกอบการตัดสินใจได้
- การป้องกันความเสี่ยง: การตั้ง Stop Loss ตามแนวรับหรือแนวต้านช่วยให้นักลงทุนป้องกันการขาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อควรระวัง
- ความผันผวนของตลาด: บางครั้งตลาดอาจมีความผันผวนสูง ทำให้ราคาหุ้นอาจทะลุแนวรับหรือแนวต้านชั่วคราว ซึ่งอาจทำให้นักลงทุนขายหุ้นในจังหวะที่ไม่เหมาะสม
- การตีความที่ผิดพลาด: การระบุแนวรับและแนวต้านอาจไม่แม่นยำหากไม่มีประสบการณ์หรือความรู้เพียงพอ เนื่องจากมีปัจจัยจำนวนมากที่เกี่ยวข้องเช่น ช่วงเวลาของกราฟแท่งเทียนที่ดู (Timeframe)
การกำหนดจุด Stop Loss ตามแนวรับหรือแนวต้านเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไรในตลาดการลงทุน ด้วยการใช้ข้อมูลทางเทคนิคและการวิเคราะห์ที่เหมาะสม นักลงทุนสามารถป้องกันการขาดทุนและเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กำหนดจุด Stop Loss ตาม Fibonacci Retracement
การใช้ Fibonacci Retracement เป็นหนึ่งในวิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่นิยมใช้ในการกำหนดจุด Stop Loss โดยนักลงทุนใช้ระดับ Fibonacci เพื่อระบุระดับการกลับตัวที่สำคัญในกราฟราคาของสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ การใช้ Fibonacci Retracement ช่วยให้นักลงทุนสามารถตั้งจุด Stop Loss ในระดับที่เหมาะสมและลดความเสี่ยงในการขาดทุนได้ผ่านการใช้หลักการทางคณิตศาสตร์
Fibonacci Retracement คือเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้ในการระบุระดับการกลับตัวของราคาสินทรัพย์ โดยใช้สัดส่วนเลขฟีโบนักชี เช่น 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, และ 100% ที่เป็นสัดส่วนที่มักจะเกิดขึ้นตามธรรมชาติและถูกเรียกว่า Golden Ratio นักลงทุนในตลาดมักนิยมใช้ระดับเหล่านี้เพื่อระบุแนวรับและแนวต้านในการวิเคราะห์กราฟราคา
วิธีการกำหนดจุด Stop Loss ตาม Fibonacci Retracement
- ระบุจุดสูงสุดและจุดต่ำสุด: เลือกจุดสูงสุดและจุดต่ำสุดบนกราฟราคา ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดของการเคลื่อนไหวของราคา
- ใช้เครื่องมือ Fibonacci Retracement: ใช้เครื่องมือนี้เพื่อวาดเส้นจากจุดสูงสุดไปยังจุดต่ำสุด หรือจากจุดต่ำสุดไปยังจุดสูงสุด เพื่อระบุระดับ Fibonacci
- กำหนดจุด Stop Loss: ตั้งจุด Stop Loss ที่ระดับ Fibonacci ที่เหมาะสม เช่น ใต้ระดับ 61.8% หรือ 50% เพื่อป้องกันการขาดทุนหากราคาลดลงต่ำกว่าระดับเหล่านี้
ตัวอย่างการใช้งาน สมมติว่าราคาหุ้นสูงสุดอยู่ที่ 100 บาท และต่ำสุดอยู่ที่ 50 บาท คุณใช้ Fibonacci Retracement เพื่อวาดเส้นจาก 100 บาทไปยัง 50 บาท ระดับ Fibonacci ที่ 61.8% จะอยู่ที่ประมาณ 80 บาท คุณอาจตั้งจุด Stop Loss ใต้ระดับนี้ที่ 79 บาท เพื่อป้องกันการขาดทุนหากราคาหุ้นลดลงต่ำกว่า 79 บาท
ข้อดีของการกำหนดจุด Stop Loss ตาม Fibonacci Retracement
- การใช้จุดมีความน่าเชื่อถือ: ระดับ Fibonacci เป็นระดับที่นักลงทุนจำนวนมากยอมรับและใช้กันอย่างแพร่หลาย ทำให้มีความน่าเชื่อถือในการตั้งจุด Stop Loss
- การวิเคราะห์ทางเทคนิค: การใช้ Fibonacci ช่วยให้นักลงทุนสามารถใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคในการตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อควรระวัง
- ความผันผวนของตลาด: ตลาดอาจมีความผันผวนสูงและระดับ Fibonacci อาจไม่สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาได้อย่างแม่นยำเสมอไป
- การใช้งานที่ต้องการประสบการณ์: การใช้ Fibonacci Retracement อย่างมีประสิทธิภาพต้องการความรู้และประสบการณ์ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค
- การกำหนดจุด Stop Loss ตาม Fibonacci Retracement เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ด้วยการใช้ข้อมูลทางเทคนิคและการวิเคราะห์ที่เหมาะสม นักลงทุนสามารถป้องกันการขาดทุนและเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กำหนดจุด Stop Loss แบบ Trailing Stop
Trailing Stop เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถป้องกันการขาดทุนและล็อคกำไรในเวลาเดียวกัน Trailing Stop ทำงานโดยการปรับจุด Stop Loss ตามการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ เมื่อราคาสูงขึ้น จุด Stop Loss จะขยับขึ้นตาม แต่เมื่อราคาลดลง จุด Stop Loss จะยังคงที่ ทำให้การใช้ Trailing Stop มีความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพในการจัดการความเสี่ยง
วิธีการกำหนดจุด Stop Loss แบบ Trailing Stop
- กำหนดระยะห่าง: นักลงทุนต้องกำหนดระยะห่างระหว่างราคาปัจจุบันกับจุด Stop Loss ซึ่งอาจเป็นหน่วยเงินหรือเปอร์เซ็นต์ ตัวอย่างเช่น กำหนดระยะห่าง 3% - 5% หากราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ที่ 100 บาท จุด Stop Loss จะอยู่ที่ 97 และ 95 บาทตามลำดับ
- ปรับจุด Stop Loss ตามราคาหุ้น: เมื่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้น จุด Stop Loss จะขยับขึ้นตาม แต่ถ้าราคาหุ้นลดลง จุด Stop Loss จะคงที่ ทำให้นักลงทุนสามารถล็อคกำไรได้เมื่อราคาหุ้นเพิ่มขึ้น
- ใช้แพลตฟอร์มการซื้อขาย: นักลงทุนสามารถตั้งคำสั่ง Trailing Stop ผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ต่าง ๆ ที่มีการให้บริการคำสั่งประเภทนี้ โดยกำหนดระยะห่างที่ต้องการและระบบของผู้ให้บริการจะทำการปรับจุด Stop Loss อัตโนมัติ
ตัวอย่างการใช้งาน สมมติว่าคุณซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ 100 บาท และกำหนด Trailing Stop ไว้ที่ 10% หากราคาหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 120 บาท จุด Stop Loss จะปรับขึ้นเป็น 108 บาท (120 - 10%) หากราคาหุ้นลดลงจาก 120 บาทเหลือ 110 บาท จุด Stop Loss จะยังคงอยู่ที่ 108 บาท
ข้อดีของการกำหนดจุด Stop Loss แบบ Trailing Stop
- การล็อคกำไร: Trailing Stop ช่วยให้นักลงทุนสามารถล็อคกำไรเมื่อราคาสินทรัพย์เพิ่มขึ้น ทำให้ไม่พลาดโอกาสในการทำกำไร
- การป้องกันการขาดทุน: การตั้งจุด Stop Loss ที่ปรับตามราคาหุ้นช่วยป้องกันการขาดทุนหากราคาหุ้นลดลงอย่างรวดเร็ว
- ความยืดหยุ่น: Trailing Stop ให้ความยืดหยุ่นในการตั้งจุด Stop Loss ทำให้นักลงทุนสามารถปรับจุดตามการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้
ข้อควรระวัง
- ความผันผวนของตลาด: ในตลาดที่มีความผันผวนสูง Trailing Stop อาจทำให้ขายหุ้นเร็วเกินไป หากราคาหุ้นลดลงชั่วคราวก่อนที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
- การกำหนดระยะห่างที่เหมาะสม: การตั้งระยะห่างที่ใกล้เกินไปอาจทำให้ขายหุ้นเร็วเกินไป ในขณะที่การตั้งระยะห่างที่ไกลเกินไปอาจไม่สามารถป้องกันการขาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การกำหนดจุด Stop Loss แบบ Trailing Stop เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ด้วยการใช้เครื่องมือทางเทคนิคนี้ นักลงทุนสามารถป้องกันการขาดทุนและเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
กำหนดจุด Stop Loss แบบ Fixed Stop
การกำหนดจุด Stop Loss แบบ Fixed Stop เป็นวิธีที่นักลงทุนตั้งจุด Stop Loss ที่ระดับราคาคงที่ตั้งแต่ต้นโดยไม่เปลี่ยนแปลงตามการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ วิธีนี้เป็นที่นิยมใช้ในการจัดการความเสี่ยง เนื่องจากมีความเรียบง่ายและชัดเจนในการป้องกันการขาดทุน
วิธีการกำหนดจุด Stop Loss แบบ Fixed Stop
- กำหนดระดับการขาดทุนที่ยอมรับได้: นักลงทุนต้องกำหนดระดับการขาดทุนที่ยอมรับได้ เช่น 5%, 10%, หรือระดับราคาที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น หากซื้อหุ้นที่ราคาหุ้นละ 100 บาท และยอมรับการขาดทุนได้ 10% จะตั้งจุด Stop Loss ไว้ที่ 90 บาท
- ตั้งคำสั่ง Stop Loss: ตั้งคำสั่งขายหุ้นอัตโนมัติที่ระดับราคาที่กำหนดผ่านแพลตฟอร์มการซื้อขายหุ้นหรือสินทรัพย์ประเภทต่าง ๆ
- ไม่เปลี่ยนแปลงจุด Stop Loss: หลังจากตั้งจุด Stop Loss แล้ว นักลงทุนจะไม่เปลี่ยนแปลงระดับราคานี้ แม้ว่าราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวขึ้นหรือลง
ตัวอย่างการใช้งาน สมมติว่าคุณซื้อหุ้นในราคาหุ้นละ 50 บาท และตั้งจุด Stop Loss ไว้ที่ 45 บาท หากราคาหุ้นลดลงถึง 45 บาท ระบบจะขายหุ้นอัตโนมัติ ซึ่งช่วยป้องกันการขาดทุนที่มากเกินไป
ข้อดีของการกำหนดจุด Stop Loss แบบ Fixed Stop
- ความเรียบง่าย: Fixed Stop มีความเรียบง่ายและใช้งานง่าย ไม่ต้องการการคำนวณซับซ้อนหรือการปรับเปลี่ยนจุด Stop Loss ตามราคาหุ้น
- การป้องกันความเสี่ยง: การตั้งจุด Stop Loss ที่ชัดเจนช่วยให้นักลงทุนสามารถป้องกันการขาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ข้อควรระวัง
- ความผันผวนของตลาด: ในตลาดที่มีความผันผวนสูง Fixed Stop อาจทำให้นักลงทุนขายหุ้นในจังหวะที่ไม่เหมาะสม หากราคาหุ้นลดลงชั่วคราวก่อนที่จะกลับมาเพิ่มขึ้นอีกครั้ง
- การตั้งจุดที่ไม่เหมาะสม: การตั้งจุด Stop Loss ที่ใกล้เกินไปอาจทำให้ขายหุ้นเร็วเกินไป ในขณะที่การตั้งจุดที่ไกลเกินไปอาจไม่สามารถป้องกันการขาดทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การกำหนดจุด Stop Loss แบบ Fixed Stop เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการจัดการความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร ด้วยการตั้งจุด Stop Loss ที่ชัดเจน นักลงทุนสามารถป้องกันการขาดทุนและเพิ่มผลตอบแทนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สรุปแล้วการวางจุด Stop Loss เป็นกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงที่สำคัญสำหรับนักเทรด เนื่องจากช่วยจำกัดการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นได้ การเลือกเทคนิคการตั้ง Stop Loss ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ จะช่วยให้นักเทรดสามารถบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หมายเหตุ
คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้