ลงทุนอย่างไรให้ได้กำไรในช่วงเงินเฟ้อ

กันยายน 20, 2024

thumbnail

หลังจากวิกฤต Covid-19 เกิดขึ้นเป็นผลให้ประเทศสหรัฐฯ ทำนโยบายอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้สหรัฐมีเงินเฟ้อสูงถึง 9.1% ในปี 2022 และเป็นตัวเลขเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 40 ปี มากไปกว่านั้นยังส่งผลต่อภาพรวมเศรษฐกิจโลกทำให้เงินเฟ้อเกิดขึ้นอีกในหลายประเทศ ซึ่งประเทศไทยมีเงินเฟ้อสูงถึง 7.86% และสูงที่สุดในรอบ 14 ปี หากไม่ต่อยอดเงินทุนที่มีไว้จะส่งผลให้ความสามารถในการซื้อของนักลงทุนลดลง ดังนั้น การลงทุนเพื่อชนะเงินเฟ้อจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างแรกในสภาวะตลาดเงินเฟ้อสูง ทำให้หลาย ๆ คนอาจสงสัยว่า ในช่วงที่เงินเฟ้อ ลงทุนอะไรดี

เงินเฟ้อ (Inflation) คืออะไร

เงินเฟ้อ (Inflation) คือภาวะทางเศรษฐกิจที่มีการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าและบริการทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งส่งผลให้ค่าของเงินลดลง ความสามารถในการซื้อสินค้าลดลง นักเศรษฐศาสตร์มักใช้ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ในการวัดเงินเฟ้อ ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการที่ผู้บริโภคใช้จ่าย

 

สาเหตุของเงินเฟ้อ

 

สาเหตุของเงินเฟ้อ

เมื่อทราบถึงความหมายของเงินเฟ้อแล้ว สามารถแบ่งเหตุผลที่ทำให้เกิดเงินเฟ้อเป็น 2 ปัจจัยได้ดังนี้

  • เงินเฟ้อที่เกิดจากปัญหาด้านอุปทาน (Supply)
  • ต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น (Cost-push inflation) :
  • เกิดขึ้นเมื่อต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น เช่น ราคาวัตถุดิบหรือค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้นตาม
  • เงินเฟ้อที่เกิดจากการพิมพ์เงิน (Monetary inflation) :
  • เกิดขึ้นเมื่อธนาคารกลางพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ทำให้ปริมาณเงินในระบบมากขึ้น และค่าของเงินลดลงเช่น สถานการณ์ Covid-19 ที่พิมพ์เงินเพื่อช่วยให้เศรษฐกิจคล่องตัวสูงขึ้น
  • เงินเฟ้อที่เกิดจากอุปสงค์ (Demand)
  • อุปสงค์เกินอุปทาน (Demand-pull inflation) :
  • เกิดขึ้นเมื่อความต้องการสินค้าและบริการสูงกว่าความสามารถในการผลิต ทำให้ราคาผู้บริโภคยินดีจ่ายค่าสินค้าในราคาสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาของสินค้าและบริการสูงขึ้นตาม

 

ตัวอย่างของวิกฤตเงินเฟ้อทั่วโลกที่เคยเกิดขึ้น

1. วิกฤตเงินเฟ้อเยอรมนี (Weimar Republic) หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (1921-1923)

เหตุการณ์ : หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เยอรมนีต้องเผชิญกับภาระหนี้สินจำนวนมหาศาลจากค่าปฏิกรณ์สงคราม (Reparations) ที่ต้องจ่ายให้แก่ประเทศผู้ชนะสงคราม รัฐบาลเยอรมันจึงตัดสินใจพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นเพื่อจ่ายหนี้และค่าใช้จ่ายภายในประเทศ ส่งผลให้เกิดเงินเฟ้อขั้นรุนแรง (Hyperinflation)

ผลกระทบ

  • ราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว : ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นกว่าล้านเท่า ผู้คนต้องใช้รถเข็นหรือกระสอบในการนำเงินไปใช้จ่าย
  • มูลค่าเงินลดลง : มูลค่าของเงินมาร์คเยอรมันลดลงจนเกือบสูญค่า ธุรกิจหลายแห่งปิดตัวลงและส่งผลต่อประชาชนในประเทศ
  • ความไม่พอใจและความวุ่นวายทางสังคม : เกิดการประท้วงและความวุ่นวายทางสังคมอย่างรุนแรง เป็นปัจจัยหนึ่งที่นำไปสู่การขึ้นมาของพรรคนาซีและฮิตเลอร์

2. วิกฤตเงินเฟ้อในซิมบับเว (2007-2008)

เหตุการณ์ : ซิมบับเวประสบกับวิกฤตเงินเฟ้อขั้นรุนแรงเนื่องจากการบริหารจัดการทางเศรษฐกิจที่ล้มเหลว การปฏิรูปที่ดินที่ไม่เป็นธรรม ส่งผลให้เกิดการพิมพ์เงินเพื่อใช้จ่ายภาครัฐและถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ

ผลกระทบ

  • ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก : ราคาสินค้าสูงขึ้นกว่าล้านเท่า เนื่องจากเงินอ่อนค่าอย่างรวดเร็ว
  • มูลค่าเงินลดลงจนเกือบไม่มีค่า : ธนบัตรซิมบับเวมีมูลค่าน้อยลงจนไม่สามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวัน ผู้คนต้องพึ่งพาการแลกเปลี่ยนสินค้าแทนการใช้เงิน
  • ความยากจนและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ : ประชาชนประสบกับความยากจน ขาดแคลนอาหาร ส่งผลให้เกิดการอพยพและความไม่มั่นคงทางสังคม

3. วิกฤตเงินเฟ้อในเวเนซุเอลา (2010)

เหตุการณ์ : เวเนซุเอลาประสบกับวิกฤตเงินเฟ้อขั้นรุนแรงเนื่องจากการบริหารจัดการทางเศรษฐกิจที่ผิดพลาด การพึ่งพาการส่งออกน้ำมันเป็นหลักและการถูกคว่ำบาตรจากนานาชาติ

ผลกระทบ

  • ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก : ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นกว่าล้านเท่า ทำให้ประชาชนยากจนลงและขาดแคลนสินค้า
  • มูลค่าเงินลดลงจนเกือบไม่มีค่า : มูลค่าเงินโบลิวาร์ลดลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เงินสดมีความสำคัญต่ำกว่าสินค้าอย่างมาก
  • การอพยพและความไม่มั่นคงทางสังคม : ประชาชนมากกว่าล้านคนต้องอพยพเพื่อหาโอกาสที่ดีขึ้น ส่งผลให้เกิดความไม่มั่นคงทางสังคมและการเมือง

4. วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง (1997)

เหตุการณ์ : วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งเกิดขึ้นในปี 1997 เมื่อค่าเงินบาทลดลงอย่างรวดเร็วหลังจากการพังทลายของฟองสบู่ในตลาดอสังหาริมทรัพย์และการบริหารจัดการทางการเงินที่ไม่เหมาะสม

ผลกระทบ

  • ค่าเงินบาทลดลงอย่างมาก : ค่าเงินบาทลดลงจากประมาณ 25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นกว่า 50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐภายใน 1 ปี
  • เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น : ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้นเนื่องจากค่าเงินบาทลดลง ทำให้เกิดเงินเฟ้อในประเทศ
  • การล้มละลายของธุรกิจ : หลายธุรกิจและธนาคารต้องล้มละลายเนื่องจากไม่สามารถชำระหนี้ต่างประเทศได้
  • การว่างงานและความยากจน : การล้มละลายของธุรกิจส่งผลให้เกิดการว่างงานและความยากจนเพิ่มขึ้นในสังคม

5. วิกฤตเงินเฟ้อที่เกิดจาก Covid-19 (2019-2022)

เหตุการณ์ : วิกฤตโควิด เริ่มต้นในปี 2019 และแพร่กระจายไปทั่วโลกในปี 2020 ทำให้เศรษฐกิจทั่วโลกฝืดลงอย่างกระทันหัน รัฐบาลของหลายประเทศจึงใช้นโยบายการเงินและการคลังเพื่อช่วยเหลือประชาชนและกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้เกิดการพิมพ์เงินเพิ่มขึ้นและการลดอัตราดอกเบี้ย

ผลกระทบ

  • การเพิ่มขึ้นของปริมาณเงิน : การพิมพ์เงินและการกระตุ้นเศรษฐกิจทำให้ปริมาณเงินในระบบเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • เงินเฟ้อสูง : หลายประเทศต้องเผชิญกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจากการใช้จ่ายเงินที่ไม่เป็นธรรมชาติ เช่น สหรัฐฯ มีอัตราเงินเฟ้อสูงถึง 9.1% ในปี 2022
  • ราคาสินค้าและบริการสูงขึ้น : ราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้นทั่วโลก ทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น
  • ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ : การปิดกิจการ การว่างงาน และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจส่งผลให้เกิดความกังวลต่อสถานการณ์โลก

วิกฤตเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่รุนแรงของเงินเฟ้อต่อเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งทำให้นักลงทุนและผู้บริหารการเงินต้องมีการวางแผนและกลยุทธ์ในการจัดการกับเงินเฟ้ออย่างรอบคอบเพื่อป้องกันผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อชีวิตและการเงิน

 

ออมเงินในบัญชีธนาคารช่วงเงินเฟ้อ

การออมเงินในบัญชีธนาคารในช่วงเงินเฟ้ออาจไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุด เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจากบัญชีธนาคารมักจะต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ ทำให้มูลค่าที่แท้จริงของเงินออมลดลงในระยะยาว อย่างไรก็ตาม หากจำเป็นต้องออมเงินในบัญชีธนาคาร ควรพิจารณาดังนี้

1. เลือกบัญชีออมทรัพย์ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง :

ค้นหาธนาคารที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงสุดเพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากการออมเงิน

2. ใช้บัญชีเงินฝากประจำ :

บัญชีเงินฝากประจำส่วนมากจะมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าบัญชีออมทรัพย์ทั่วไป แต่มีเงื่อนไขให้ไม่สามารถใช้เงินที่ฝากอยู่ได้ในช่วงเวลาหนึ่ง

3. ใช้บัญชีประเภทพิเศษ :

หลายธนาคารทราบถึงปัญหาดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ จึงมักมีโปรโมชั่นพิเศษเพื่อแก้ปัญหาดอกเบี้ยไม่น่าดึงดูดเช่น ฝากเงินครบจำนวนที่กำหนดมีโอกาสรับผลกำไรเพิ่มเติมอย่างบ้านหรือทองคำ

ข้อดี

  • ความปลอดภัย : การฝากเงินในธนาคารมีความปลอดภัยสูง ธนาคารมีระบบการคุ้มครองเงินฝากและการรับประกันจากรัฐบาลในบางกรณี
  • สภาพคล่องสูง : เงินฝากในบัญชีธนาคารสามารถเบิกถอนใช้ได้ตลอดเวลาในกรณีที่ไม่ใช่เงินจำนวนสูงเกินไป ทำให้ไม่มีความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
  • สะดวกและง่าย : การเปิดบัญชีธนาคารและการทำธุรกรรมในบัญชีธนาคารเป็นเรื่องที่เข้าถึงง่ายมากขึ้นในปัจจุบัน และเป็นหนึ่งในทางเลือกที่ง่ายมากที่สุดในการลงทุน

ข้อเสีย

  • อัตราดอกเบี้ยต่ำ : ในช่วงเงินเฟ้อ อัตราดอกเบี้ยที่ได้รับจากบัญชีธนาคารส่วนมากจะต่ำกว่าอัตราเงินเฟ้อ ทำให้มูลค่าที่แท้จริงของเงินออมลดลง
  • การสูญเสียกำลังซื้อแบบทบต้น : เมื่ออัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นแต่ผลตอบแทนจากเงินฝากต่ำ ส่งผลให้ความสามารถในการซื้อลดลงอย่างต่อเนื่องและเป็นปัญหาใหญ่ในระยะยาวได้
  • ผลตอบแทนต่ำ : การฝากเงินในบัญชีธนาคารมักให้ผลตอบแทนที่ต่ำกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น หุ้น อสังหาริมทรัพย์ ทองคำหรือสินทรัพย์ดิจิทัล

 

ลงทุนในหุ้นช่วงเงินเฟ้อ

การลงทุนในหุ้นเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เนื่องจากหุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การเลือกหุ้นที่เหมาะสมในช่วงเงินเฟ้อเป็นสิ่งสำคัญ

1. เลือกหุ้นของบริษัทที่มีอำนาจในการกำหนดราคา :

บริษัทที่สามารถปรับราคาสินค้าและบริการได้ตามภาวะเงินเฟ้อ เช่น บริษัทที่มีแบรนด์แข็งแกร่งหรือบริษัทในอุตสาหกรรมที่มีการแข่งขันน้อย เพื่อให้ราคาหุ้นมีความเสี่ยงต่ำลงจากปัญหาเงินเฟ้อที่ไม่กระทบต่อผลกำไรบริษัท

2. เลือกหุ้นในอุตสาหกรรมที่ได้รับประโยชน์จากเงินเฟ้อ :

อุตสาหกรรมที่มักได้รับประโยชน์จากเงินเฟ้อ เช่น สินค้าโภคภัณฑ์ อสังหาริมทรัพย์ และพลังงานซึ่งสามารถพิจารณาตามแต่ละสถานการณ์

3. ลงทุนในหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล :

หุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอช่วยเพิ่มผลตอบแทนและเป็นแหล่งรายได้ในช่วงเงินเฟ้อ

ข้อดี

  • โอกาสในการเติบโตสูง : หุ้นที่ดีจะให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว
  • ปัจจัยพื้นฐานที่เติบโตพร้อมเงินเฟ้อ : หุ้นบางกลุ่มมีผลตอบแทนเติบโตคู่กับเงินเฟ้อ เช่นหุ้นอสังหาริมทรัพย์ที่ได้ผลกำไรเพิ่มจากการปรับขึ้นของราคาสินค้า
  • การจ่ายเงินปันผล : หุ้นบางตัวมีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ซึ่งเป็นแหล่งรายได้เพิ่มเติมในช่วงเงินเฟ้อ
  • การกระจายความเสี่ยง : การลงทุนในหุ้นหลากหลายบริษัทหรือในดัชนีหุ้นสามารถช่วยกระจายความเสี่ยงได้ อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางการลงทุนที่สามารถทำให้ชนะปัญหาเงินเฟ้อได้

ข้อเสีย

  • ความผันผวนสูง : ราคาหุ้นมีความผันผวนสูง อาจทำให้นักลงทุนต้องเผชิญกับความเสี่ยงจากการขาดทุน
  • ต้องการการวิเคราะห์และติดตาม : การลงทุนในหุ้นต้องการความรู้และการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐานของบริษัท
  • ความเสี่ยงจากตลาด : การเปลี่ยนแปลงในสภาวะตลาดและเศรษฐกิจโลกสามารถส่งผลกระทบต่อราคาหุ้น

ลงทุนในกองทุนรวมช่วงเงินเฟ้อ

กองทุนรวมเป็นอีกหนึ่งทางเลือกการลงทุนที่ดีในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เนื่องจากมีการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายประเภท ช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

1. เลือกกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้น :

กองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นมีโอกาสให้ผลตอบแทนสูงกว่าอัตราเงินเฟ้อในระยะยาว

2. เลือกกองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ :

กองทุนรวมที่ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมัน ทองคำ หรือสินค้าเกษตร มีโอกาสเพิ่มมูลค่าในช่วงเงินเฟ้อ

3. เลือกกองทุนรวมที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ :

กองทุนรวมที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสเพิ่มมูลค่าและให้ผลตอบแทนที่สูงในช่วงเงินเฟ้อ

ข้อดี

  • การกระจายการลงทุน : กองทุนรวมมีการลงทุนในสินทรัพย์หลากหลายประเภท ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุน
  • บริหารโดยผู้เชี่ยวชาญ : กองทุนรวมมักมีผู้จัดการกองทุนที่มีความรู้และประสบการณ์ในการบริหารจัดการการลงทุน
  • สะดวกและง่าย : การลงทุนในกองทุนรวมไม่ต้องใช้ความสามารถในการวิเคราะห์และติดตามตลาดอย่างใกล้ชิดเท่ากับการลงทุนด้วยตนเอง

ข้อเสีย

  • ค่าธรรมเนียมการจัดการ : กองทุนรวมมักมีค่าธรรมเนียมการจัดการที่ต้องจ่าย ซึ่งอาจลดผลตอบแทนที่ได้รับ
  • ผลตอบแทนไม่แน่นอน : แม้ว่าจะมีการบริหารจัดการโดยผู้เชี่ยวชาญ แต่ผลตอบแทนยังคงมีความไม่แน่นอน
  • ขาดความยืดหยุ่น : การลงทุนในกองทุนรวมอาจไม่สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ตามสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงเท่ากับที่ต้องการ

 

ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ช่วงเงินเฟ้อ

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เป็นวิธีที่ดีในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เนื่องจากมูลค่าของอสังหาริมทรัพย์มักเพิ่มขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า

1. เลือกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพในการเติบโต :

พิจารณาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีทำเลที่ดีและมีศักยภาพในการเติบโต เช่น ใกล้สถานที่สำคัญ หรือพื้นที่ที่มีการพัฒนา

2. ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่า :

การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่าสามารถให้ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าและมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นส่งผลดีทั้งมูลค่าเงินหมุนเวียนและมูลค่าการเติบโต

3. พิจารณาการลงทุนใน REITs (Real Estate Investment Trusts) :

REITs เป็นกองทุนที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และจ่ายเงินปันผลเป็นประจำ ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์โดยไม่ต้องซื้อทรัพย์สินจริง

ข้อดี

  • มูลค่าเพิ่มขึ้นตามเวลา : อสังหาริมทรัพย์มักมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามเวลา โดยเฉพาะในทำเลที่ดี
  • รายได้จากการเช่า : การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เพื่อการปล่อยเช่าสามารถให้รายได้จากการเช่าอย่างสม่ำเสมอ
  • ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ : มูลค่าของอสังหาริมทรัพย์มักเพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสินทรัพย์ป้องกันปัญหาเงินเฟ้อได้ดี

ข้อเสีย

  • ต้องการเงินลงทุนสูง : การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นสูง
  • ค่าบำรุงรักษาและจัดการ : อสังหาริมทรัพย์ต้องการการบำรุงรักษาและการจัดการอย่างต่อเนื่อง
  • สภาพคล่องต่ำ : เนื่องจากต้นทุนสูงทำให้อสังหาริมทรัพย์บางแหล่ง ทำเลไม่สามารถปล่อยขายได้ แม้จะมีมูลค่าสูงขึ้นตามเงินเฟ้อในระยะยาวแต่หากไม่มีสภาพคล่องก็จะเกิดปัญหาต่อพอร์ตลงทุนได้

 

ลงทุนในทองคำช่วงเงินเฟ้อ

ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่นิยมใช้ในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ เนื่องจากมูลค่าของทองคำมักเพิ่มขึ้นในช่วงที่เงินเฟ้อสูง และมีความมั่นคงในระยะยาว

1. ซื้อทองคำแท่งหรือเหรียญทองคำรูปพรรณ :

การซื้อทองคำแท่งหรือเหรียญทองคำรูปพรรณเป็นวิธีที่ง่ายและสะดวกในการลงทุนในทองคำ

2. ลงทุนในกองทุนรวมทองคำ :

กองทุนรวมทองคำเป็นทางเลือกที่ดีในการลงทุนในทองคำโดยไม่ต้องถือครองทองคำจริงแต่ควรคำนึงถึงสภาพคล่องและพื้นฐานของแต่ละกองทุนด้วย

3. ซื้อหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับทองคำ :

การลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับทองคำเป็นอีกทางเลือกในการลงทุนแทนทองคำโดยตรง เช่น บริษัทเหมืองทอง

ข้อดี

  • ความมั่นคงในระยะยาว : ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มูลค่าผันผวนต่ำและมั่นคงในระยะยาว
  • ป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ : มูลค่าของทองคำมักเพิ่มขึ้นในช่วงที่เงินเฟ้อสูงเนื่องจากความต้องการถือเงินสดต่ำจากความกังวลเกี่ยวกับความสามารถในการซื้อ
  • สภาพคล่องสูง : ทองคำสามารถซื้อขายได้ง่ายเนื่องจากถูกใช้งานอย่างยาวนานและเป็นที่ยอมรับจากตลาดทั่วโลก

ข้อเสีย

  • ไม่มีรายได้จากการถือครอง : ทองคำไม่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบของดอกเบี้ยหรือเงินปันผล
  • อัตราการเติบโตต่ำ : เนื่องจากการใช้งานทองคำเกิดขึ้นทั่วโลกทำให้ราคามั่นคง ความผันผวนต่ำ ส่งผลให้โอกาสเติบโตต่ำกว่าการลงทุนสินทรัพย์อื่นในบางสถานการณ์
  • ค่าธรรมเนียมการซื้อขาย : การซื้อขายทองคำอาจมีค่าธรรมเนียมในการซื้อ-ขายและเก็บรักษา
  • ความเสี่ยงหากสูญหาย : ทองคำแท่งหรือรูปพรรณนั้นต่างกับสินทรัพย์ดิจิทัลต่าง ๆ เสี่ยงต่อการทำหายหรือถูกโจรกรรมได้ง่ายขึ้น

 

ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลช่วงเงินเฟ้อ

สินทรัพย์ดิจิทัลมีหลากหลายประเภท และเป็นทางเลือกใหม่ในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อได้ดีในบางสถานการณ์ สินทรัพย์เหล่านี้มีโอกาสให้ผลตอบแทนที่สูงในระยะยาวซึ่งส่งผลต่อความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นสูงเช่นกัน

1. ลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี :

คริปโตเคอร์เรนซีเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีอัตราการเติบโตสูงใน 10 ปีที่ผ่านมาแต่มีความยากในการลงทุนสูง ซึ่งจะถูกขยายความในหัวข้อถัดไป

2. ลงทุนใน Digital art หรือ NFTs:

ในปี 2021 ที่ผ่านมา มูลค่าของกลุ่ม Non-fungible tokens(NFTs) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นอีกหนึ่งช่องทางลงทุนเพื่อชนะเงินเฟ้อ

3. ลงทุนในโทเคนดิจิทัลอื่น ๆ : 

มีสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ที่มีศักยภาพในการเติบโตและป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อเช่นกัน เช่น โทเคนดิจิทัลที่เกี่ยวข้องกับแพลตฟอร์มการเงินกระจายศูนย์ (DeFi) หรือโทเคนที่มีการใช้งานจริงในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ

ข้อดี

  • โอกาสในการเติบโตสูง : สินทรัพย์ดิจิทัลมีศักยภาพในการเติบโตสูงในระยะยาวเนื่องจากมูลค่าตลาดยังคงต่ำกว่าสินทรัพย์ประเภทอื่น
  • การกระจายความเสี่ยง : การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถช่วยกระจายความเสี่ยงจากสินทรัพย์แบบดั้งเดิม
  • การเข้าถึงง่ายและรวดเร็ว : สินทรัพย์ดิจิทัลสามารถซื้อขายได้ง่ายในตลาดทั่วโลก

ข้อเสีย

  • ความผันผวนสูง : ราคาของสินทรัพย์ดิจิทัลมีความผันผวนสูงและสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว
  • ความเสี่ยงจากการแฮ็ก : การเก็บรักษาสินทรัพย์ดิจิทัลในกระเป๋าเงินดิจิทัลมีความเสี่ยงจากการถูกแฮ็กซึ่งต้องใช้ความรู้ในการป้องกันและแก้ไขที่สูง
  • ขาดการควบคุมและกฎระเบียบ : สินทรัพย์ดิจิทัลยังไม่มีการควบคุมและกฎระเบียบที่ชัดเจนในหลายประเทศ

 

ลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีช่วงเงินเฟ้อ

คริปโตเคอร์เรนซีเป็นอีกหนึ่งในประเภทของสินทรัพย์ดิจิทัล โดยการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีเป็นอีกวิธีที่นักลงทุนให้ความสนใจมากขึ้นในการป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ คริปโตเคอร์เรนซีในปัจจุบันเป็นสินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ยังไร้การควบคุมจากหลายประเทศ ทำให้มีความเป็นอิสระและมีโอกาสในการเติบโตสูง

1. เลือกคริปโตเคอร์เรนซีที่มีความน่าเชื่อถือ :

คริปโตเคอร์เรนซีที่ได้รับการยอมรับและมีการใช้งานจริงในวงกว้าง เช่น บิทคอยน์ (Bitcoin) เป็นทางเลือกที่ดีในการลงทุน

2. ศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดคริปโต :

การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีต้องการความรู้และการศึกษาเกี่ยวกับตลาดคริปโต เช่น ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง การวิเคราะห์เทคโนโลยีเบื้องหลังคริปโต และการติดตามข่าวสารที่เกี่ยวข้อง

3. กระจายการลงทุนในหลายสกุลเงินดิจิทัล :

การกระจายการลงทุนในหลายสกุลเงินดิจิทัลช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการทำกำไร

4. ใช้แพลตฟอร์มการลงทุนที่น่าเชื่อถือ :

เลือกใช้แพลตฟอร์มการลงทุนคริปโตเคอร์เรนซีที่มีความน่าเชื่อถือและมีมาตรการความปลอดภัยที่ดีเพื่อป้องกันการสูญเสียคริปโตที่ถือครอง

5. ความผันผวนของราคาสูงมาก :

ตลาดคริปโตเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูงมากเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่น การลงทุนในคริปโตควรพิจารณาระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้เป็นหลักและควรกระจายความเสี่ยงมาลงทุนเท่านั้น

ข้อดี

  • โอกาสในการทำกำไรสูง : คริปโตเคอร์เรนซีมีศักยภาพในการทำกำไรสูงในระยะสั้นและระยะยาว
  • การกระจายความเสี่ยง : การลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซีช่วยกระจายความเสี่ยงจากสินทรัพย์แบบดั้งเดิม
  • การเข้าถึงง่าย : คริปโตเคอร์เรนซีสามารถซื้อขายได้ตลอด 24 ชั่วโมงและยังไร้การยืนยันตัวตนผ่านระบบ Blockchain

ข้อเสีย

  • ความผันผวนสูง : ราคาของคริปโตเคอร์เรนซีมีความผันผวนสูงมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่น
  • ความเสี่ยงจากการแฮ็กและการฉ้อโกง : คริปโตเคอร์เรนซีมีความเสี่ยงจากการแฮ็กและการฉ้อโกง การเลือกใช้แพลตฟอร์มที่มีความน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งสำคัญและควรศึกษาความรู้ขั้นพื้นฐานเพื่อป้องกัยกระเป๋าดิจิทัลของตนเอง
  • ขาดการควบคุมและกฎระเบียบ : คริปโตเคอร์เรนซียังไม่มีการควบคุมและกฎระเบียบที่ชัดเจน

 

สรุปการลงทุนในสถาวะเงินเฟ้อ

หลังจากทราบแล้วว่าเงินเฟ้อมีผลร้ายแรงต่อชีวิตและสถานะทางการเงินอย่างไร การลงทุนจึงเป็นวิธีแก้ปัญหาพื้นฐานอีกหนึ่งทางเลือกซึ่งสามารถวิเคราะห์ถึงทรัพย์สินที่จะลงทุนได้ตามบทความข้างต้นเช่น หุ้น กองทุนรวม อสังหาริมทรัพย์ ทองคำและสินทรัพย์ดิจิทัล เป็นต้น โดยหลักการลงทุนควรเริ่มต้นจากการค้นหาเป้าหมายของตนเองก่อนว่าต้องการผลตอบแทนอย่างไรและจำนวนเท่าใด ซึ่งจะส่งผลต่อการคัดเลือกสัดส่วนของสินทรัพย์ที่จะลงทุนแต่ละชนิด รวมถึงความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นต่อภาพรวมมูลค่าพอร์ตลงทุนด้วย อย่างไรก็ตาม ทุกสินทรัพย์ในการลงทุนมีทั้งข้อดีและข้อเสีย สิ่งสำคัญคือความรู้ในการลงทุนว่าสินทรัพย์ไหนควรลงทุนอย่างไรเช่น จังหวะในการเข้าซื้อ-ขาย ระยะเวลาในการถือครอง โอกาสการเติบโตในระยะสั้นและระยะยาว ความเสี่ยงที่อาจเกิดจากปัญหาเศรษฐกิจและปัจจัยภายใน เมื่อพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว นักลงทุนควรจะลงทุนตามแบบแผนที่ตนเองตั้งไว้รวมถึงพิจารณาถึงแผนการณ์ที่ผ่านมา และแผนการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตเผื่อโอกาสในการเติบโตสูงสุดของพอร์ตในระยะยาว

 

หมายเหตุ

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

 

เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Merkle Capital คือผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานก.ล.ต. บริษัทให้การดูแลและบริหารเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและการบริหารจัดการ