สภาพคล่องทางการเงินคืออะไร แบบไหนที่เรียกว่าขาดสภาพคล่อง

กันยายน 19, 2024

thumbnail

ในโลกการเงินและการบริหารจัดการธุรกิจ คำว่า “สภาพคล่องทางการเงิน” เป็นคำที่มักจะได้ยินกันบ่อยครั้ง แต่หลายคนอาจจะยังไม่เข้าใจว่า สภาพคล่องทางการเงิน คืออะไรและแบบไหนที่เรียกว่าขาดสภาพคล่อง บทความนี้จะมาอธิบายความหมายของสภาพคล่องทางการเงินและชี้แจงถึงสถานการณ์ที่เรียกว่าขาดสภาพคล่อง เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจและสามารถประเมินสถานการณ์ทางการเงินของตัวเองหรือองค์กรได้อย่างถูกต้อง

 

สภาพคล่องทางการเงินคืออะไร

 

 

สภาพคล่องทางการเงินคืออะไร

 

สภาพคล่องทางการเงินคืออะไร

 

สภาพคล่องทางการเงิน (Liquidity) เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงความสามารถของธุรกิจหรือบุคคลในการแปลงทรัพย์สินหรือสินทรัพย์ที่เป็นเงินสดโดยไม่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าของสินทรัพย์นั้น ๆ ในระยะเวลาที่สั้นที่สุด สภาพคล่องเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจนั้นสามารถดำเนินกิจการไปได้อย่างราบรื่น รวมถึงการบริหารจัดการเงินของบุคคลทั่วไปด้วย

สภาพคล่อง คืออะไร?

สภาพคล่อง คือ ความสามารถในการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็วและมีความสะดวกในทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องค่อนข้างสูง เช่น เงินสด เงินฝากธนาคาร และหลักทรัพย์ที่สามารถขายได้ในตลาดรองทันที สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องต่ำ เช่น ที่ดิน อาคาร หรือเครื่องจักรขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้เวลาและกระบวนการในการซื้อขายหรือแปลงเป็นเงินสดมากกว่า

สภาพคล่องทางการเงินสำคัญอย่างไร

การที่เรามีสภาพคล่องทางการเงินที่เพียงพอเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับธุรกิจ เพราะช่วยให้สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงาน ชำระหนี้สิน และสามารถจัดหาสินค้าและบริการได้ทันเวลา โดยสำหรับบุคคลทั่วไป สภาพคล่องที่ดีจะช่วยให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินทางการเงินได้ เช่น การรักษาพยาบาล การซ่อมแซมบ้าน หรือการซ่อมแซมรถยนต์ได้อย่างรวดเร็ว

ปัญหาขาดสภาพคล่อง

การขาดสภาพคล่อง (Liquidity Crisis) ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ธุรกิจหรือบุคคลไม่สามารถแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดได้ทันเวลา ซึ่งอาจส่งผลให้ธุรกิจนั้นไม่สามารถจ่ายเงินเดือนพนักงาน หรือชำระหนี้สินได้ และในกรณีที่รุนแรง อาจต้องเผชิญกับสภาวะล้มละลาย สำหรับบุคคลทั่วไป การขาดสภาพคล่องอาจหมายถึงการที่ไม่สามารถจ่ายค่ารักษาพยาบาล ค่าเช่าบ้าน หรือค่าซ่อมรถยนต์ได้ทันเวลา

วิธีการจัดการสภาพคล่อง

การบริหารจัดการสภาพคล่องอย่างมีประสิทธิภาพนั้น คือการประเมินและวางแผนการเงินอย่างรอบคอบ วิธีหนึ่งที่สามารถทำได้ คือการสร้างงบประมาณการเงินที่ครอบคลุมทุกด้านของธุรกิจหรือการเงินส่วนบุคคล นอกจากนี้ยังควรมีการสำรองเงินสดหรือมีสินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ง่ายเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินที่เกิดขึ้นได้ทุกเวลา

ตัวอย่างของการมีสภาพคล่องที่ดี

ธุรกิจที่มีสภาพคล่องที่ดีมักจะสามารถจ่ายเงินเดือนพนักงานตรงเวลา จ่ายหนี้สินตามกำหนด และมีเงินสำรองสำหรับการลงทุนเพิ่มเติมหรือขยายกิจการ ในขณะที่บุคคลที่มีสภาพคล่องที่ดีจะมีเงินสำรองเพียงพอในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน และสามารถใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการขาดแคลนเงินสด

 

ตัวอย่างของการมีสภาพคล่องที่ดี"

 

 

ต้องมีสภาพคล่องทางการเงินแค่ไหนถึงจะเหมาะสม

การที่มีสภาพคล่องทางการเงินที่เหมาะสมนั้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจหรือบุคคลสามารถจัดการกับภาระผูกพันทางการเงินได้อย่างราบรื่น ซึ่งสภาพคล่องทางการเงินนั้น หมายถึง ความสามารถในการแปลงสินทรัพย์เป็นเงินสดได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายโดยไม่สูญเสียมูลค่ามากนัก

การวัดสภาพคล่องทางการเงิน

ในการวัดสภาพคล่องทางการเงิน สามารถใช้เกณฑ์ต่างๆ ดังนี้

  1. อัตราส่วนสภาพคล่อง (Liquidity Ratios) : อัตราส่วนที่ใช้วัดความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นของธุรกิจ เช่น อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) และอัตราส่วนเงินสด (Quick Ratio)
  2. กระแสเงินสด (Cash Flow) : การมีเงินสดเพียงพอที่จะรองรับการจ่ายเงินในแต่ละช่วงเวลา รวมถึงการมีกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอและเพียงพอต่อการดำเนินงาน
  3. การมีสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง (Liquid Assets) : การถือครองสินทรัพย์ที่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ง่ายและรวดเร็ว เช่น เงินสดในมือ เงินฝากธนาคาร หรือหลักทรัพย์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง

ต้องมีสภาพคล่องทางการเงินแค่ไหนถึงจะเหมาะสม

การที่มีสภาพคล่องทางการเงินที่เหมาะสมนั้นขึ้นอยู่กับลักษณะและความต้องการของแต่ละบุคคลหรือธุรกิจ แต่โดยทั่วไปการมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีควรมีลักษณะดังนี้

  1. อัตราส่วนเงินทุนหมุนเวียน (Current Ratio) สูงกว่า 1 : หมายความว่าธุรกิจมีสินทรัพย์หมุนเวียนอยู่มากกว่าหนี้สิน ซึ่งแสดงถึงความสามารถในการชำระหนี้ระยะสั้นได้อย่างเหมาะสม
  2. มีเงินสดสำรองเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน : ควรมีเงินสดสำรองประมาณ 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายประจำ เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด
  3. การจัดการกระแสเงินสดที่มีประสิทธิภาพ : ควรมีการวางแผนและติดตามกระแสเงินสดอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่ามีเงินสดเพียงพอต่อการดำเนินงานและการชำระหนี้

ทำไมการมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีจึงสำคัญ

การที่มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีช่วยให้ธุรกิจหรือบุคคลสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ เช่น การเกิดภาระหนี้ที่ต้องชำระในทันที การจัดการกับค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิด หรือการเผชิญกับการสูญเสียรายได้ชั่วคราว นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถใช้โอกาสทางธุรกิจที่เกิดขึ้นได้ทันที เช่น การลงทุนในโครงการใหม่ หรือการซื้อสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มในอนาคต

สัญญาณของการขาดสภาพคล่องทางการเงิน

หากธุรกิจหรือบุคคลขาดสภาพคล่องทางการเงิน อาจเกิดสัญญาณดังต่อไปนี้

  1. ไม่สามารถชำระหนี้ระยะสั้นได้ตามกำหนดเวลา : ทำให้ต้องขายสินทรัพย์ในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าจริง หรือจำเป็นต้องกู้ยืมเงินเพิ่มขึ้นเพื่อชำระหนี้
  2. ขาดกระแสเงินสดที่สม่ำเสมอ : มีเงินสดไม่เพียงพอต่อการดำเนินงาน ทำให้ต้องระงับหรือชะลอการลงทุนในโครงการใหม่
  3. การเสี่ยงต่อการล้มละลาย : การขาดสภาพคล่องทางการเงินในระยะยาวอาจนำไปสู่การล้มละลายหรือการถูกบังคับขายสินทรัพย์

สภาพคล่องทางการเงินที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาสถานะทางการเงินที่มั่นคงและรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้ การมีสภาพคล่องทางการเงินที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยให้ธุรกิจหรือบุคคลสามารถชำระหนี้ระยะสั้นได้ แต่ยังช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการดำเนินงานและการวางแผนการเงินในระยะยาว

 

วิธีเช็คสภาพคล่องทางการเงินแบบง่าย ๆ

การเช็คสภาพคล่องทางการเงินนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่จะช่วยให้เรานั้นสามารถรับรู้ได้ถึงความสามารถในการจ่ายหนี้และใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้อย่างไม่ขาดสภาพคล่อง ซึ่งสภาพคล่องทางการเงินหมายถึงความสามารถในการเปลี่ยนสินทรัพย์ของเราเป็นเงินสดได้อย่างง่ายดาย เพื่อรองรับการใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งในหัวข้อนี้จะให้คุณเรียนรู้วิธีการเช็คสภาพคล่องทางการเงินแบบง่าย ๆ ด้วย 4 วิธี ดังนี้

ตรวจสอบงบรายรับรายจ่าย

การตรวจสอบงบรายรับรายจ่ายซึ่งเป็นขั้นตอนแรกในการเช็คสภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งเริ่มจากการทำบันทึกรายรับ-รายจ่ายประจำเดือนอย่างละเอียด ซึ่งรายรับอาจรวมถึงเงินเดือน รายได้เสริม ดอกเบี้ยซึ่งมาจากการลงทุนเป็นต้น ซึ่งในขณะที่รายจ่ายนี้เป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน เช่น ค่าบ้าน ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าน้ำค่าไฟ และค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่น ๆ ซึ่งเมื่อบันทึกรายรับ-รายจ่ายทั้งหมดแล้ว จะช่วยให้เห็นภาพรวมของการใช้เงินและรู้ว่าเรามีรายรับมากกว่ารายจ่ายหรือไม่? การที่รายรับมากกว่ารายจ่ายจะช่วยให้มีสภาพคล่องทางการเงินที่ดี

พิจารณางบดุลส่วนบุคคล

งบดุลส่วนบุคคลนั้นเป็นเอกสารแสดงสินทรัพย์ หนี้สิน และทุนของเรา ที่การพิจารณางบดุลจะช่วยให้เรานั้นเข้าใจถึงสถานะการเงินของตัวเองได้ดียิ่งขึ้น สินทรัพย์เหล่านี้รวมถึงเงินสด บัญชีธนาคาร ทรัพย์สินอื่น ๆ เช่น บ้าน รถยนต์ และการลงทุนต่าง ๆ ของแต่ละคน ซึ่งในขณะที่หนี้สินรวมถึงหนี้บัตรเครดิต สินเชื่อบ้าน สินเชื่อรถยนต์ และหนี้สินอื่น ๆ ซึ่งเมื่อรู้ว่าสินทรัพย์กับหนี้สินของเราเป็นเท่าไหร่ จะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์สภาพคล่องทางการเงินได้ดีขึ้น หากสินทรัพย์มีมูลค่ามากกว่าหนี้สิน แสดงว่าเรามีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีนั้นเอง 

เช็คอัตราส่วนสภาพคล่อง

อัตราส่วนสภาพคล่องนั้นเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้เรานั้นเข้าใจในความสามารถในการจ่ายหนี้ระยะสั้น ซึ่งการคำนวณอัตราส่วนสภาพคล่องนั้นมีหลากหลายวิธี แต่ที่นิยมใช้คืออัตราส่วนสภาพคล่องทันที (Current Ratio) ซึ่งจะคำนวณจากสินทรัพย์หมุนเวียนแล้วหารด้วยหนี้สินหมุนเวียน หากอัตราส่วนมากกว่า 1 แสดงว่าเรามีสินทรัพย์หมุนเวียนเพียงพอที่จะจ่ายหนี้สินระยะสั้น แต่ถ้าหากว่าอัตราส่วนต่ำกว่า 1 ควรพิจารณาเพิ่มสินทรัพย์หมุนเวียนหรือชำระหนี้สินหมุนเวียนให้ลดลง เพื่อไม่ให้เกิดภาวะขาดสภาพคล่อง

เช็คอัตราส่วนเงินออม

อัตราส่วนเงินออมนั้นเป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยให้เราสามารถเช็คสภาพคล่องทางการเงิน การมีเงินออมเป็นการเตรียมความพร้อมในกรณีที่เกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น การเจ็บป่วย การตกงาน หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิดอื่น ๆ การเช็คอัตราส่วนของเงินออมสามารถทำได้โดยการคำนวณจากจำนวนเงินออมหารด้วยรายจ่ายต่อเดือน เช่น หากมีเงินออม 100,000 บาท และมีรายจ่ายต่อเดือน 20,000 บาท แสดงว่าเรามีอัตราส่วนเงินออมเท่ากับ 5 เดือนของเงินออม ซึ่งการมีเงินออมเพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายอย่างน้อย 3-6 เดือนจะช่วยให้เรานั้นมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีและไม่ขาดสภาพคล่อง

 

แบบไหนที่เรียกว่าขาดสภาพคล่อง

ขาดสภาพคล่อง

ขาดสภาพคล่อง หมายถึง สภาวะที่องค์กรหรือบุคคลไม่สามารถแปลงสินทรัพย์ให้เป็นเงินสดได้เพียงพอหรือไม่สามารถหาเงินสดมาใช้จ่ายได้ในระยะสั้น ซึ่งอาจเกิดจากหลายปัจจัย เช่น การบริหารจัดการสินทรัพย์ที่ไม่ดี การมีหนี้สินที่สูง หรือการเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉินทางการเงินที่ไม่คาดคิด

เมื่อเกิดสภาวะขาดสภาพคล่อง องค์กรหรือบุคคลนั้นอาจจะต้องเผชิญกับปัญหาทางการเงินที่รุนแรง เช่น การไม่สามารถชำระหนี้ตามกำหนด การต้องขายสินทรัพย์ในราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง หรือการต้องเผชิญกับการฟ้องร้องจากเจ้าหนี้ ซึ่งอาจนำไปสู่การล้มละลายในที่สุด

สาเหตุของการขาดสภาพคล่อง

  1. การบริหารจัดการสินทรัพย์ไม่ดี : การถือครองสินทรัพย์ที่ไม่สามารถแปลงเป็นเงินสดได้ง่าย เช่น อสังหาริมทรัพย์หรือสินทรัพย์ที่ไม่มีตลาดรองรับ
  2. การมีหนี้สินที่สูง : การกู้ยืมเงินมากเกินไป ทำให้ต้องใช้เงินสดในการชำระดอกเบี้ยและเงินต้นมากขึ้น
  3. การเผชิญกับสถานการณ์ฉุกเฉินทางการเงิน : เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด เช่น การลดลงของยอดขายอย่างฉับพลัน การเสียหายจากภัยพิบัติ หรือการสูญเสียแหล่งเงินทุนสำรอง

ผลกระทบของการขาดสภาพคล่อง

การขาดสภาพคล่องอาจส่งผลกระทบต่อองค์กรหรือบุคคลในหลายด้าน เช่น การสูญเสียความเชื่อมั่นจากนักลงทุนและเจ้าหนี้ การเสียเครดิตทางการเงิน การต้องขายสินทรัพย์ในราคาต่ำกว่ามูลค่า และในกรณีที่รุนแรงที่สุด อาจนำไปสู่การล้มละลาย

วิธีการแก้ไขปัญหาขาดสภาพคล่อง

  1. การปรับปรุงการบริหารจัดการสินทรัพย์ : ตรวจสอบและปรับปรุงการถือครองสินทรัพย์ให้มีสภาพคล่องสูงขึ้น
  2. การลดหนี้สิน : ลดการกู้ยืมเงินและหาวิธีการชำระหนี้ให้เร็วขึ้น
  3. การเพิ่มรายได้ : หาแหล่งรายได้ใหม่หรือเพิ่มยอดขายเพื่อนำเงินสดเข้ามาใช้จ่าย
  4. การจัดการเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ : การวางแผนการใช้จ่ายและการเก็บสำรองเงินสดในกรณีฉุกเฉิน

การมีสภาพคล่องทางการเงินที่ดีเป็นสิ่งสำคัญในการบริหารจัดการองค์กรหรือการเงินส่วนบุคคล หากขาดสภาพคล่อง จะต้องมีการวางแผนและดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้สถานการณ์แย่ลง

 

หมายเหตุ

คริปโทเคอร์เรนซีและโทเคนดิจิทัลมีความเสี่ยงสูง ท่านอาจสูญเสียเงินลงทุนได้ทั้งจำนวนและสินทรัพย์ดิจิทัลมีความเสี่ยง และ ผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอดีต มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลตอบแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในอนาคต โปรดศึกษาและลงทุนให้เหมาะสมกับระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้

 

เรื่องราวอื่น ๆ ที่น่าสนใจ

Merkle Capital คือผู้จัดการเงินทุนสินทรัพย์ดิจิทัลแห่งแรกในประเทศไทย ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานก.ล.ต. บริษัทให้การดูแลและบริหารเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลแก่ลูกค้าด้วยกลยุทธ์ที่หลากหลายโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนและการบริหารจัดการ